วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

เมื่อความโกรธแค้นถูกจุดติดในปากีสถาน






 วันที่ 16 ม.ค.58 เมื่อความโกรธแค้นถูกจุดติดในปากีสถาน แต่ยุทธวิธียังไม่ถูก

แผนการยั่วยุก่อสงครามครูเสด กับชาวมุสลิม ของกลุ่มอิลลูมินาติ โดยยิวไซออนิสต์ เริ่มสำเร็จ เมื่อใช้นักเขียนการตูนชาวยิว ของหนังสือพิมพ์ชาร์ลี ฮิปโด ในฝรั่งเศส จนเกิดการยิงกัน และใช้หนังสือนี้ที่มีภาพการ์ตูนหน้าปก ล้อเลียนทางศาสดาของพี่น้องชาวมุสลิม แล้วเพิ่มยอดจำหน่ายเป็น 5 ล้านเล่ม
ส่งผลให้เกิดกระแสความโกรธแค้น ของมุสลิมไปทั่วโลก แต่มีผู้นำหุ่นเชิดตะวันตก ต้องอ่านโพยตามสคริปต์ เช่น ผู้นำปากีสถาน ได้ออกมาอ่านสคริป ประนามการโจมตีหนังสือพิมพ์นี้ เท่านั้นแหละเป็นเรื่อง เมื่อชาวปากีสถาน มองว่าหนังสือฝรั่งเศสนั่นแหละล้อเลียนศาสดาของเขาก่อน


สร้างความโกรธแค้นและไม่พอใจฝรั่งเศสในชาวปากีสถานเป็นอย่างมาก จึงมีการปลุกม็อบเดินรวมตัวกันจำนวนมหาศาล ไปที่สถานทูตฝรั่งเศส ในเมืองการาจี ทางตอนใต้ของปากีสถาน เกิดการปะทะกันนัวเนียกับตำรวจ ผู้ประท้วงใช้ก้อนหิน และไม้เป็นอาวุธ ตำรวจใช้แก็สน้ำตาตอบโต้
ฝรั่งเศส และชาติตะวันตก ที่วางแผนให้ภาพออกมาเช่นนี้รู้สึกพอใจมาก ที่คนปากีสถานตีกันเอง โดยคนฝรั่งเศสไร้รอยขีดข่วน เขากำลังรอให้คนปากีสถานเผาสถานทูตอยู่ เพราะเขาเก็บเอกสารสำคัญออกไปหมดแล้ว เมื่อเหตุการณ์รุนแรงขึ้น ทางฝรั่งเศสกับอเมริกา ก็จะอ้างมติ UN ส่งกำลังทหารเข้ามารักษาสันติภาพ


จริงๆ ก็มาปราบปราบชาวปากีสถานนั่นแหละ แต่ทำแบบถูกกฎที่ตนเองสร้างกฎนั้นเอง ตามแผนการ "จัดระเบียบโลกใหม่" จากนั้นก็เข้าไปแทรกแซงรัฐบาลปากีสถาน กำหนดนโยบายการค้า แล้วยึดธุรกิจดีๆ ในปากีสถานเป็นของชาติตะวันตก สูตรนี้เป็นสูตรสำเร็จ เก่ามากๆ...แต่ใช้ได้ผลมาจนถึงปัจจุบัน หวังว่าคนปากีสถานจะไตร่ตรองได้ และคิดให้รอบคอบ ว่าจะรวมตัวกับประเทศใด เพื่อล้อมตอบโต้ยุโรปพร้อมๆ กันทุกทิศทุกทาง


อย่าเอาไม่ซีกไปงัดไม้ซุง มันเสียของเปล่าๆ คนมุสลิมทั่วโลกมี 1,500 ล้านคน เอาไม้ซีกเหล่านั้นหลายๆ ประเทศ (ไม่จำเป็นต้องทำโดยรัฐบาลแต่ละประเทศ ) แต่ให้มัดใจรวมกัน จู่โจมแบบสายฟ้าแล่บจากทุกทิศทาง ร่วมกับคนมุสลิมประเทศเป้าหมาย เข้าทำการรัฐประหารรัฐบาลประเทศต่างๆ แบบไม่ต้องเสียหายมากนัก


ประชาชนในประเทศละ 2 แสนคน วางแผนดีๆ ก็รัฐประหารเข้ายึดอำนาจรัฐบาลยุโรปเป้าหมายให้ได้ รัฐบาลพวกเขาเคยแค่ต่อต้านก่อการร้าย และลอบโจมตีประเทศอื่น แต่ ไม่เคยมีประสบการณ์ถูกรัฐประหาร ย่อมอ่อนหัดจะต้านทาน ใช้จุดอ่อนนี้ให้เกิดประโยชน์
เพียงแค่นี้ไม้ซีกจะชนะไม้ซุงได้โดยการเมืองแบบสูสี และ พลิกเกมส์ เป็นต่อได้โดยง่าย

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

กองทัพไทย เพิ่มศักยภาพ บก เรือ อากาศ (Thai Army)


กองทัพไทย เพิ่มศักยภาพ บก เรือ อากาศ
สร้างความได้เปรียบภาวะเสี่ยงโลกยุคใหม่
บิ๊กตู่ นายกฯ หัวหน้า คสช. มอบให้กระทรวงกลาโหม และ เหล่าทัพจัดทำแผนการพัฒนาและจัดหายุทโธปกรณ์ ตามแผนพัฒนากองทัพประจำปี 2559 มาเสนอให้รัฐบาลพิจารณาช่วงกลางเดือน มกราคม 2558
กองทัพบก...เสนอในการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป (ฮ.ท.) ระยะที่ 3 เพื่อทดแทน ฮ.ท.1 ยูเอช -1 เอช (ฮิวอี้) ที่จะปลดประจำการกว่า 30 ลำ วงเงินในการจัดหา 2,800 ล้านบาท
กองทัพเรือ...เสนอโครงการจัดหาเรือดำน้ำมือหนึ่ง เข้าประจำการตามแผนพัฒนากองทัพเรือ 2-3 ลำ โดยพิจารณาคัดเลือกแบบเรือดำน้ำจาก เกาหลีใต้ จีน รัสเซีย และฝรั่งเศส
กองทัพอากาศ..เสนอจัดหาเครื่องบินฝึกรุ่นใหม่แทนแอล-39 ของสาธารณรัฐเช็ก ที่การผลิต โดยต้องพิจารณาจากการความต่อเนื่องของระบบเน็ตเวิร์คเซ็นทริคเป็นลำดับแรก วงเงิน 3,700
อีกทั้งประเทศไทยเราไม่มีการจ้างต่อเรือดำน้ำใหม่ มานานมากแล้ว , เครื่องบินก็เก่ามาก จนนักบินเป็นอันตราย มีข่าวเครื่องตกบ่อยๆ การมีอาวุธยุทธโธปกรณ์ใหม่ๆ ก็เพื่อความปลอดภัยของทหารตาดำๆ
ราคาก็ไม่ได้สูงอะไรอย่างที่พวกต่อต้านทุกครั้งเข้าใจ แค่ไม่ต้องเลือกตั้งแค่ครั้งเดียว ประหยัดเงินไป 3,000 ล้าน ไม่ต้องเลือกตั้งสัก 10 ปี ก็ประหยัดอื้อ สามารถน้ำเงินส่วนนี้มาใช้จัดหาอาวุธ มาปกป้องคนไทยถึง 65 ล้านคน
หากเราช้ากว่า ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่เพิ่งซื้อเรือดำน้ำรัสเซียไป เขาก็ล้ำหน้าเราไปอีกหลายปี หากมีเหตุสงครามเกิดขึ้นระหว่างชาติใหญ่ๆ เราก็จะไม่มีแสนยานุภาพป้องกันอ่าวไทย และฝั่งอันดามัน
ต่อไปขืนใครมาข่มเหงรังแกชาติไทยของเรา เหมือนสมัย ร.5 หรือ สงครามเกาะช้าง เป็นได้เจอระเบิดตอร์ปิโด ประเคนใส่ไม่ยั้งแน่ เพราะเรือรบผิวน้ำ 20 ลำ ยังไม่กล้าเข้าสู้กับเรือดำน้ำทันสมัยเพียงลำเดียว
และหากยามไม่มีสงคราม เรือดำน้ำนี่แหละ ที่โจรสลัดที่ปล้นเรือในทะเลบ่อยๆ กลัวหนักหนา เพื่อระแวงและมองไม่เห็นว่าใต้ท้องเรือพวกโจร มีอะไรอยู่ อันจะทำให้ปัญหาโจรสลัดในทะเลลดน้อยลงอีกมาก

อีกประการ ที่คนทั่วไปคิดไม่ถึง คือ " การแสดงอาวุธในวันเด็ก " เพราะ ประชาชนจะได้เห็น และมั่นใจในความก้าวหน้าและศักยภาพของกองทัพไทย ภาพเผยแพร่ออกไป ได้ความน่าเกรงขามทางจิตวิทยา
เด็กๆ ก็เกิดแรงบันดาลใจ ที่จะขยันเรียน มุ่งมั่นขยันเรียนสมัครสอบมารับใช้ชาติเป็นทหาร นักเรียนนายร้อย นายเรือ นายเรืออากาศ เพราะนายทหารพวกนี้ทุกคน ตอนเป็นเด็กๆ ก็เริ่มมีฝันจากการไปงานแสดงยุทธโธปกรณ์ทางทหารนี่แหละ หลายคนก็เป็นวิศวกรไปก็มี โบราณถึงว่า "ไม่อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก"

ช่องแคบมะละกา"จุดยุทธศาสตร์โลก" (Strait of Malacca)


นี่คือ.."จุดยุทธศาสตร์โลก" 
ช่องแคบมะละกา (Strait of Malacca) เป็นช่องแคบระหว่างแหลมมลายูและเกาะสุมาตรา อยู่บริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทย ตะวันตกและใต้ของมาเลเซีย ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือและเหนือของเกาะสุมาตรา และเลยไปถึงทางด้านใต้ของสิงค์โปร์ ระบุพิกัดที่ประมาณ 1.43 องศาเหนือ และ 102.89 องศาตะวันออก 

ช่องแคบมะละกา ถือเป็นทั้งจุดยุทธศาสตร์ และทำเลทองของวงการธุรกิจโลก เนื่องจากเป็นรอยต่อของ 3 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ประกอบกับการเป็นเส้นทางเดินเรือที่ใช้ขนถ่ายสินค้าและน้ำมันที่สำคัญทั้งในทวีปเอเชียและทั่วโลก ประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลกจึงปรารถนาจะเข้ามาแผ่อิทธิพลเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในดินแดนปลายสุดแหลมมลายู และ ด้วยเหตุนี้ ทั้ง 3 ประเทศที่ครอบครองดินแดนในช่องแคบดังกล่าว จึงต้องเดินเกมทั้งทางการเมืองและการทหาร เพื่อรักษา "สมดุลแห่งอำนาจ" เพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติไว้ให้ได้มากที่สุด

แม้จะไม่ได้มีน่านน้ำอยู่ในช่องแคบดังกล่าวโดยตรง แต่ประเทศไทยก็ถูกลากโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเกมแห่งอำนาจจนได้ เมื่อทั้ง 3 ประเทศ ร้องขอให้ไทยส่งกำลังทหารเข้าไปลาดตระเวนในจุดยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยอ้างเหตุผลเพื่อต่อต้านภัยการก่อการร้ายและโจรสลัด

ช่องแคบมะละกา ตั้งอยู่ระหว่างประเทศมาเลเซียกับประเทศอินโดนีเซีย โดยมีประเทศสิงคโปร์อยู่ที่ปากทางเข้าด้านใต้ ขณะนี้กำลังมีการขนสินค้าผ่านช่องทางนี้มากกว่า 1 ใน 4 ของการค้าโลกทั้งหมด เป็นเส้นทางเดินเรือทะเลที่สำคัญที่สุดทางยุทธศาสตร์ และเป็นเส้นทางที่เสี่ยงต่ออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะภัยก่อการร้าย และโจรสลัด ที่ฝังตัวหากินกับเรือพาณิชย์ที่แล่นผ่านสัญจรเข้า-ออก เป็นจำนวนมาก โดยในแต่ละปีเรือพาณิชย์กว่า 5 หมื่นลำ ล้วนแต่ใช้ช่องแคบแห่งนี้ ซึ่งมีความยาวกว่า 800 กม. เป็นทางผ่านในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

จากสถิติของสำนักงานเดินเรือทะเลระหว่างประเทศ พบว่า ทั่วโลกต้องประสบกับภัยโจรสลัดที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงระยะเวลา 10 ปี สูงถึง 3 เท่าของการโจรกรรมสินค้า ปีล่าสุดมีสถิติสูงขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มียอดสูงกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะการโจรกรรมเรือบรรทุกน้ำมัน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ ก๊าซธรรมชาติเหลวทุกลำจากตะวันออกกลาง ที่มุ่งหน้ามายังแถบเอเชีย ที่จะต้องผ่านช่องแคบมะละกา โดยมีบริษัทเดินเรือ 400 แห่ง

ขณะที่กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของน้ำมันที่ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน สั่งน้ำเข้าจากอ่าวเปอร์เซีย ต้องใช้เส้นทางนี้เช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้ สหรัฐอเมริกาได้เคลื่อนย้ายกำลังทหารเข้ามาอย่างเงียบๆ ด้วยการแฝงตัวมากับเรือบรรทุกสินค้าเพื่อดูลาดเลา เพราะต้องการเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในช่องแคบแห่งนี้ กระทั่ง มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ซึ่งมีพื้นที่ตั้งอยู่บนสองฟากฝั่งช่องแคบมะละกาแสดงความไม่พอใจอย่างมาก

แต่ "วาระซ่อนเร้น" ย่อมหนีไม่พ้นการ "คานอำนาจ"
ของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ..แน่นอน !!

พม่า ขุดเจาะน้ำมัน ง่ายๆ Burma's oil rush: 'Nothing else in this country gives you money like this'



มาดูชาวบ้านพม่าขุดเจาะนํ้ามันขายให้รัฐบาลพม่า


ชาวนาพม่าขุดน้ำมันดิบเอง ด้วยเครื่องยนต์ยันม่า กับกว้านมือหมุน
กระทรวงไทยบอกต้นทุนสูง ขุดเจาะยาก ต้องฝรั่งเท่านั้นที่ทำได้

ตกลงพม่าทำคลิปมาหลอกเรา หรือคนไทยหลอกคนไทยด้วยกันเอง
ตามข่าวนี้บอกว่า ชาวนาพม่าขายน้ำมันดิบ บาร์เรลละ 10 เหรียญ หรือ ลิตรละ 2 บาทครับ

"independent drillers are pumping up up to 300 barrels of crude oil a day, worth ,000"


















ปล.ขณะที่พม่ากำลังตื่นตัวว่ามีน้ำมัน และทำอย่างจึงจะไม่เกิดการคอรัปชั่น แต่ของไทยกลับปฏิเสธเรื่องการมีพลังงาน พอจับได้ก็บอกมีน้อย (แต่ไม่บอกว่า ผู้ที่ใช้ทั้งก๊าซและน้ำมันเบาไปเยอะมากคือปิโตรเคมี) 

และยังมีความเชื่อมั่นว่า การจัดการพลังงานของชาติสะอาดบริสุทธิ์เป็นผ้าขาว ถึงจะเชื่ออย่างไรก็คงต้องตรวจสอบครับ เพราะทรัพยากรเป็นของคนทั้งชาติ และมูลค่าพลังงานที่ประเทศต้องจ่ายสูงถึง 5 ล้านล้านบาท(มากกว่างบประมาณแผ่นดิน 2 เท่า) ครับ


วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558

นักรบที่ไม่กลัวตาย บ้าบิ่น รวดเร็ว รุนแรง (Black Water)


Black Water นักรบที่ไม่กลัวตาย บ้าบิ่น รวดเร็ว รุนแรง
ทหารรับจ้างส่วนใหญ่ของ Black Water มาจากอดีตกำลังพลของกองทัพสหรัฐฯ เช่น
อดีต เนวี่ ซีล (ส่วนใหญ่ เลยละ)
อดีต นาวิกโยธิน
อดีต หน่วย S.W.A.T.
คงไม่ต้อง อธิบายกันให้มากนะครับ ว่าแต่ละหน่วยที่กล่าวอ้างมานั้น ฝึกหนักแค่ไหน ประสิทธิภาพในการรบมีเท่าใด ขีดความสามารถระดับไหน สรุปง่ายๆ ของจริงทั้งกองกำลังครับ
สำหรับประสบการณ์ บางคนอาจจะ มีประสบการณ์การรบ ในภารกิจพิเศษของทางกองทัพ มาเป็นเวลา ยาวนาน ถึง 40 ปีก็มีนะครับ แต่ก็อย่างว่าครับ ในเมื่อยศฐาบรรดาศักดิ์ มันกินไม่ใด้ จะอยู่ทำไม กฎเกฑณ์ก็มากมาย ต้องรอสายงานสั่งงาน ค่าตอบแทน ที่อาจไม่คุ้มค่าสักเท่าไรเมื่อเทียบกับทำงานให้กับ Black Water
ทำให้ บรรดาเหล่านักรบผู้เจนสงคราม ให้ความสนใจกับทางนี้ซะมากกว่า ฝีมือกูมีอะ ใครจะทำไม ประมาณนั้น 5555

ว่าถึง อาวุธ ยุทโธปกรณ์ นับว่าไม่น้อยหน้ากองทัพเท่าไรนะครับ
เรื่องของยุทโธปกรณ์ของเหล่า Black Water นั้น จะมีทั้ง หน่ยงานจัดหาให้ และ เจ้าตัวจัดหาเองก็มีครับตามแต่สะดวกเลย จึงไม่แปลกครับ ที่จะเห็นพวกเค้าเหล่านี้ถือ AK 47 เพราะอะไรหนะหรือครับ
มันเชื่อถือใด้มากกว่าไง อึดกว่า ทนกว่า แรงกว่า ดิบกว่า บ้ากว่า นั้นแหละเค้า(ในกรณีลุยนะครับ) เพราะพวกเค้าเหล่านี้ จะสามารถตีภารกิจให้แตกใด้ว่าอะไรที่เหมาะกับภารกิจที่กระทำอยู่ และเค้าเหล่านี้ ก็ยังเป็น นักแต่งปืน ดัดแปลงปืนตัวยงอีกด้วยละครับ แฮะๆ
ถ้าภารกิจคุ้มกันVIP ในอาคาร ก็อาจจะเป็นพวก MP5 ตะกูลต่างๆ ก็แหมม จะให้ไปถึง m249 ในอาคารกับนักการเมือง ก็กระไรอยู่
เพราะฉะนั้น อาวุธของพวกเค้าจึงไม่ตายตัวครับ
ไม่ว่าจะเป็น
m4 ที่ดัดแปลงเป็น CQB
มีปืนกล FN MAG ของเบลเยี่ยม
หรือแม้กระทั่ง RPD ของรัสเซีย สารพัดหลากหลายครับผมแล้วแต่ภารกิจเลย

กระผมขอติด เรื่องการแต่งกาย และ พาหนะ ไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะยาวจนเกินไป เเหะๆ

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558

Die Hard ฟิเดล คาสโตร สุดยอดคนพันธุ์อึด (Fidel Alejandro Castro Ruz)


สุดยอดคนพันธุ์อึด Die Hard
ฟิเดล คาสโตร โดนลอบสังหารกว่า600ครั้ง ในรอบ50ปี โดย CIAและกลุ่มต่อต้าน วางแผนกันมาตั้งแต่ประธานาธิบดีไอเซนฮาวน์
50ปีกับแผนการลอบสังหารนับไม่ถ้วน
ซีไอเอเคยจ้างมาเฟียมะกัน ให้ลอบสังหารฟิเดล คาสโตรด้วยยาพิษสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (ซีไอเอ) เผยแพร่เอกสารลับ แฟมิลี่ จีเวลส์ ว่าด้วยปฏิบัติการลับสุดยอดของซีไอเอในช่วงทศวรรษ 2503-2513
ซีไอเอจ้างมาเฟียคิว+มาเฟียอิตาลี่ 1.5 แสนดอลลาร์ นายจอห์นนี โรเซลลี หรือซานโตส ทราฟิคันท์ มาเฟียคิวบา และนายซัลวาตอเร จิอานคันนา มาเฟียเชื้อสายอิตาลี เจ้าของสมญาอัลคาโปนคนใหม่ ซึ่งต่างเป็นผู้ต้องหาที่สหรัฐต้องการตัวมากที่สุดในยุคนั้น เป็นผู้รับผิดชอบในแผนลอบสังหารด้วยยาพิษ 6 เม็ด ที่เตรียมไว้สำหรับใส่ในอาหารและเครื่องดื่ม
วันที่ 17 เมษายน 1961 อเมริกาโดย CIA ได้ส่งกองกำลังชาวคิวบาพลัดถิ่นที่ถูกนำมาฝึกทางการทหารแบบลับๆ 1,500 คน ภายใต้ชื่อกองพัน 2506 พร้อมอาวุธครบมือเข้าเทียบชายฝั่งทางตอนใต้ของอ่าวหมู กำลังพลถึง 1,200คน ถูกคิวบาจับคุมขัง เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นเหตุการณ์อัปยศที่สุดเหตุการณ์หนึ่งของอเมริกา
และความพยายามอีกมากมายของหลายกลุ่มในการลอบสังหาร ฟิเดล คาสโตร
หอยติดระเบิดในแคริเบียน
ปากกาฉีดยาพิษ
วางยาในอาหารอาหาร
ชู้รักโดนอเมริกาจ้างให้มาลอบฆ่า
ซิกการ์ระเบิดได้
ไมโครโฟนอาบยาพิษ
ใส่ยาพิษในรองเท้า
ระเบิดใต้แท่นปราศัย
50ปีกับการลอบสังหาร600กว่าครั้ง
ฟิเดล คาสโตร ปกครองคิวบานานเท่ากับประธานาธิบดีของอเมริกา10คน
ตั้งแต่ไอเซนฮาวน์-บุช
ปัจจุบันอเมริกาประสบความสําเร็จแล้วดูคลิปในลิ๊งว่าประสบความสําเร็จเป็นยังไงไปดูกัน

http://archive.voicetv.co.th/content/24634/คิวบาโวยสหรัฐฯพัฒนาเกมฆ่าคาสโตร%20(http://archive.voicetv.co.th/content/24634/คิวบาโวยสหรัฐฯพัฒนาเกมฆ่าคาสโตร)

นักรบนิรนาม 333.(ทหารพราน)


นักรบนิรนาม 333...........เป็นทหารที่เรียกว่าเป็นคนที่ปิดทองยิ่งกว่าหลังพระ...จะเปรียบได้กับ­­การปิดทองใต้ฐานพระเสียด้วยซ้ำ.....

ต้องเสียสละเลือด ชีวิต เพื่อปกป้องประเทศในการรบยังนอกประเทศเกือบ 3,000 นาย บาดเจ็บนับหมื่น พิการกว่า 1,000 นาย และถูกจับเป็นเชลยศึก 214 คน สูญหายอีกจำนวนหนึ่ง

ความเสียสละครั้งนี้นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เป็นเบื้องหลังของการประกาศคว­­ามเข้มแข็งของชาติให้ชาติอื่นได้กลัวเกรง....แล้วพวกเราต้องรักในความเป็นไทย และเชิดชูศักดิ์ศรีความเป็นไทยดังวีรชนทั้งหลายที่เข้าปกปักรักษามาให้เราตราบนานเท่­­านาน แอดมินโค้กขอนำเสนอเพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้ถึงวรีกรรมของเหล่า ทหารเสือพราน นักรบนิรนาม 333

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

ขอเสนอข้อสันนิษฐานล้วนๆครับ กรณีเครื่องบินตก (Air asia QZ8501)





จากกรณีที่ กระทรวงคมนาคม อินโดนีเซีย ได้สั่งระงับเที่ยวบินระหว่าง สุราบายา-สิงคโปร์ ของแอร์เอเชียอินโดนีเซีย เนื่องจากให้บริการเกินจากใบอนุญาต ที่กำหนดให้บินได้สัปดาห์ละ 4 วัน และ " ไม่มีวันอาทิตย์" รวมอยู่ด้วย แต่เที่ยวบิน QZ8501 ตกในเช้าวันอาทิตย์ พร้อมกับลูกเรือและผู้โดยสารรวม 162 ราย
ตอนนี้เรื่องลุกลาม เมื่อกระทรวงคมนาคม อินโดนีเซีย เริ่มตรวจสอบตารางบินทุกเที่ยวของแอร์เอเชียอินโดนีเซีย เน้นเรื่องตารางบินก่อน ส่วนเรื่องใบอนุญาตประกอบการ มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะถูกถอดออก

เรื่องนี้สะเทือนแน่เพราะ
1. การบินนอกตารางที่ได้อนุญาต บริษัทประกันภัย ชาติตะวันตก มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ ไม่จ่ายสินไหมประกันราว 3,300 ล้านบาทได้ ส่งผลต่อฐานะทางการเงินสายการบินแน่ๆ

2. การถูกถอดใบอนุญาต เพราะสาเหตุนี้ สมเหตุสมผล และจะผลให้กำไรหดหาย หรือ ติดลบ และหุ้นสายการบินนี้ตกรูด และ ถูกช้อนซื้อโดยชาติตะวันตก และแผนการซื้อเครื่องบินแอร์บัส จากฝรั่งเศส อีกกว่า 200 ลำ ต้องหยุดไปก่อน ??

3. พรายกระซิบมาว่า มาเลย์ฯ เตรียมส่งอาวุธหนุนนักรบ IS สายมาเลย์ ( IS มีนักรบ 80 ชาติไปร่วมรบ ) และโอบามา เชิญนายกมาเลย์ ฯ ไปตีกอล์ฟ และคุยกันเรื่องนี้ แต่นายกฯ มาเลย์ฯ ปฏิเสธ ไม่รู้ไม่เห็น
และพรายกระซิบดังๆ มาอีกว่า มาเลย์ฯ ที่เป็นสมาชิก คัดค้านมติกลุ่มโอเปค ที่จะลดราคาน้ำมันดิบลงมาจนต่ำขนาดนี้ เพื่อโจมตีรูเบิ้ลรัสเซีย ตามแรงบังคับจากมะกัน แต่ทนอิทธิพลซาอุฯ บาเรน ไม่ได้ จึงต้องยอม และมาเลย์ฯ เตรียมจะแฉประจานมะกันเรื่องนี้

ทันทีนั้นเครื่องบินเที่ยวนี้ก็เกิดอุบัติเกตุ ระบบไฟฟ้า และอิเล็คทรอนิกส์ เกิดน็อคหยุดทำงานไป "ทุกระบบ" เอาดื้อๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ จนเครื่องตกโหม่งทะเล

4. มีชาวอินโดฯ ราว 500 คนไปเป็นนักรบ IS ส่วน เครื่องบิน 3 ลำ ที่สูญหาย ติดต่อกัน ถูกยิงตกยูเครน และตกลงทะเล มีมาเลย์ฯ เป็นเจ้าของ และหุ้นส่วน เป็นเที่ยวบินสัญลักษณ์ของชาวมุสลิม ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินในเอเซียมาก เมื่อเข้าสู่ AEC ในปี 58

5. บางคนอาจคิดว่า เกิดจากลมสุริยะ หรือ สภาพอากาศธรรมชาติแปรปรวนตรงเครื่องตกหรือเปล่า ?? ก็น่าคิดได้ แต่จะบอกข้อมูลว่า ช่วงวันนั้น เวลานั้น พิกัดนั้น และความสูงมากกว่านั้น มีเครื่องบินของสายการบินอีกเพียบ ที่บินอยู่เหนือเที่ยวบินลำที่ตกนี้

แล้วสายการบินอื่นเหตุใดไม่โดนพายุสุริยะ จนระบบไฟฟ้า อิเล็คทรอนิกส์หยุดทำงาน , ภัยธรรมชาติฉับพลัน หรือ น้ำแข็งเกาะเครื่องยนต์เหมือนเที่ยวบิน QZ8501นี้ ?? ถ้าใครอ่านตอนก่อนหน้ามาก็จะรู้ว่ามะกันมีระบบรีโมทควบคุมระยะไกล สั่งชัทดาว หรือควบคุม เครื่องบินทุกลำได้จากดาวเทียม ตามรายละเอียดที่เคยเล่าตอนก่อนหน้าแล้ว

ที่เห็นภาพนี้ คือ ทีมกู้ภัยของรัสเซียที่มาช่วยอินโดฯ แปลกดีไหม ??

ความรักระหว่างชนชั้น เจ้าชายล้านนาและหญิงสาวชาวผม่า


มาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับเรื่อง ความรักระหว่างชนชั้นอีกเรื่องหนึ่ง ระหว่าง เจ้าชายผู้สูงศักดิ์กับหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา ถ้าเป็นนิทานขายดีอย่างวอลดิสนี่อย่างซินเดอเรลล่า เจ้าชายและหญิงสาวต้องได้ครองคู่กันแต่ ชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแต่มันกลับจบลงด้วยความเศ้า เริ่มเรื่องกันเลยดีกว่า ครับ

เมื่อประมาณ ร้อยกว่าปีก่อนสมัยรัชกาล ที่ 5 กรุงสยามได้ถูก ต่างชาติล่าอาณานิคม รุกราน อย่าง ฝรั่งเศส และอังกฤษ โดยทางเหนือนั้น ได้ อินเดีย พม่า และรัฐฉาน ไปแล้ว ยังคงเหลือ ล้านนา อีกแห่งที่ยังไม่ได้ยึดครองซึ่งที่ล้านนานี้ อุดมสมบูรณ์ไปด้วย ทรัพยากรณ์ป่าไม้ และ ของป่ามากมายที่ยังไม่ได้สูบออกไปเป็นรายได้เข้าประเทศอังกฤษ ในขณะนั้นอังกฤษ ได้เริ่มเข้ามาขอสัมปทานป่าไม้ จากเจ้าผู้ครองนครของล้านนา ซึ่งในขณะนั้น ทางอังกฤษและกรุงสยามเริ่มมีปัญหาและหวาดระแวงซึ่งกันและกันเกี่ยวกับล้านนา ทางสยามก็กลัวว่าอังกฤษจะเข้ามายึดครองและมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ทางพระนางวิตตอเรีย อยากได้ เจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นบุตรสาวเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ไปเป็นบุตรบุญธรรมที่เมืองอังกฤษและขุนนางในราชสำนักล้านนาเริ่มแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่านหนึ่งอยากไปเข้ากับฝั่งอังกฤษ และ อีกฝั่งอยากเข้ากับทางกรุงสยาม เมื่อได้ยินข่าวดังนั้น พระปิยะมหาราฃ รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงสยามได้ทำการมาขอหมั้น เจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นธิดาของ พระเจ้าอินทรวิชยานนไปเป็นสนม เพื่อตัดปัญหาทางการเมืองเรื่องความมั่นคงของล้านนา โดยที่ เจ้าดารารัศมีนั้นเดินทางไปอยู่ รัตนโกสินทร์ ในเวลาต่อมาเมื่อมีประชันษาได้ 13 ปี

ต่อมา เจ้าอุตรการโกศล หรือ เจ้าน้อยสุขเกษม ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของ เจ้าดารารัศมี (องค์นี้แหละครัีบเจ้าชายของเรา)ได้ถูกพระบิดา หรือ เจ้าแก้วนวรัฐ ส่งเรียนหนังสือ ที่โรงเรียนเซนต์แพทริกตั้งแต่อายุ 15 ปี ที่โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนแคทอลิกในเมืองมะละแหม่งประเทศพม่า ซึ่งโรงเรียนนี้สอนภาษาอังกฤษและภาษาพม่า เนื้องด้วยสมัยนั้นการค้าขายของทางเชียงใหม่และล้านนา มักจะค้าขายกับคน พม่าและอังกฤษเป็นหลัก ภาษาทั้งสองจึงจำเป็นมากสำหรับการค้าขาย และที่นี่เอง เป็นสถานที่พบรักกันระหว่าง เจ้าชายผู้สูงศักดิ์และดรุณีสาวน้อยชาวพม่ามีนามว่า มะเมี๊ยะ มะเมี๊ยะนั้น เป็นแม่ค้าขายบุหรี่ในตลาดและเจ้าน้อยได้ไปเดินเที่ยวตลาดและเ้กิดพบรักกับมะเมี๊ยะ คาดว่าคงเป็นรักแรกของเจ้าน้อยและมะเมี๊ยะด้วย เมื่อ เจ้าน้อยอายุได้ 19 ปี และ มะเมี๊ยะอายุ 15 ปี ทั้งคู่ก็ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน จนเมื่อ เจ้าน้อยจบการศึกษา เมื่ออายุได้ 20 ปีจึงได้เดินทางกลับเชียงใหม่และได้ให้ม๊ะเมี๊ยะปลอมตัวเป็นเด็กรับใช้ผู้ชายกลับมาด้วยและเมื่อถึงเชียงใหม่ก็ได้แอบเอามะเมี๊ยไปซ่อนไว้ในเืรือนหลังเล็ก โดยไม่ยอมให้ เจ้าพ่อและเจ้าแม่รู้ว่าตนเองนั้นได้นำมะเมี๊ยะมาด้วย

ทางด้าน เจ้าแก้วนวรัฐผู้เป็นราชบิดาและเจ้าจามรีมหาเทวี ได้ทรงหมั้นหมายเจ้าหญิงบัวชุมไว้แล้ว และจะใก้แต่งงานกัน
ทางด้านเจ้าน้อยไม่ยอมแต่งงานเลยเปิดเผยว่ามีเมียแล้วคือมะเมี้ยะ เอามะเมี้ยะมากราบเจ้าพ่อเจ้าแม่แต่ไม่ได้รับการยอมรับ และเรื่องนี้ก็ล่วงรู้ไปทางเจ้าดารารัศมีและฝั่งสยาม จึงทำให้เกิดความหวาดระแวงและอาจจะเป็นประเด็นให้ทางอังกฤษอ้างสิทธิ์ยึนเอาได้เพราะ คนที่อยู่ในการปกครองของอังกฤษ(มะเมี๊ยะ)ได้แต่งงานกับเจ้าน้อยแล้วก็จะถือว่าเจ้าน้อยเป็นคนอังกฤษด้วยเช่นกันและที่สำคัญมีแนวโน้มว่า เจ้าน้อยสุขเกษมนั้นมีโอกาศที่จะได้เป็นเจ้าหลวงผู้ถือครองนครเชียงใหม่และจะทำให้เสียเชียงใหม่กับล้านนาให้กับอังกฤษ จึงทำให้การแต่งงานของเจ้าน้อยกับม๊ะเมียะเป็นไปไม่ได้ด้วยเหตุผลทางการเมืองและการไม่เป็นที่ยอมรับของพระญาติของเจ้าน้อยและได้บังคับให้ม๊ะเมี๊ยะเดินทางกลับไปพม่า โดยเจ้าน้อยได้นำขบวนช้างขบวนม้าไปส่งถึงหน้าประตูเมือง ระหว่างทางจากคุ้มเจ้าหลวงไปทางประตูเมืองนั้นชาวบ้านต่างมามุงดูเต็มสองข้างทาง ด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามะเมี๊ยะนั้นงามนักหนา เจ้าน้อยได้สัญญาว่า จะเดินทางไปรับกลับในอีกสามเดือนและสาบานรักต่อกันว่า ทั้งคู่จะรักกันและไม่นอกใจไปมีคนอื่นถ้าผู้ใดผิดคำสาบาญขอให้อายุสั้นและม๊ะเมี๊ยะก็ได้สยายผมของตนเองก้มกราบแทบเท้าและเอาผมของตนเองเช็ดเท้าของเจ้าน้อยเพื่อแสดงถึงความรักที่มีต่อเจ้าน้อยจนทำให้่ชาวบ้านที่เห็นต่างร้องไห้กันออกมาเพราะความสงสารทั้งคู่

ในเวลาต่อมา เจ้าน้อยได้ถูกเจ้าดารารัศมีเรียนตัวไปยังสยามและได้จับให้แต่งงานกับเจ้าหญิงบัวชุมและได้กักตัวอยู่ที่นั่นเลยเพื่อตัดปัญหาและเพือความมั่นคงทางการเมืองจะได้ไม่ถูกทางสยามหวาดระแวง

ทางด้านม๊ะเมี๊ยะเมื่อครบสัญญาสามเดือนแล้วทางเจ้าน้อยก็ยังไม่มาจึงตัดสินใจบวชเป็นชีว่าตนนั้นไม่ได้ผิดคำสาบาน

สุดท้ายเมื่อช่วงเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เจ้าน้อยได้เดินทางกลับมายังเชียงใหม่และแม่ชีม๊ะเมี๊ยะได้รู้ข่าวว่าเจ้าน้อยกลับมาอยู่เชียงใหม่แล้วก็ได้เดินทางมาจากเมืองมะละแหม่งเพื่อมาทวงคำสัญญาและคำสาบานของเจ้าน้อยที่มีต่อตนโดยไปรอพบที่หน้าคุ้มของเจ้าน้อยแต่เจ้าน้อยไม่ยอมมาพบเพราะตนนั้นได้ผิดคำสัญญาที่มีต่อม๊ะเมี๊ยะแต่ได้ให้คนนำแหวนทับทิม(ตามคำบอกเล่าบอกว่าแหวนทับทิมนั้นแทนหัวใจ)และเงินจำนวนหนึ่งมอบให้ส่วนแม่ชีม๊ะเมี๊ยะรับไว้แต่แหวนทับทิมและมาถอนคำสาบานที่เคยมีต่อกันแต่เจ้าน้อยไม่ยอมมาพบและแม่ชีก็ได้กลับไปยังเมืองมะละแหม่งตามเดิม

 ส่วนทางเจ้าน้อยนั้น ก็เริ่มดื่มเหล้าอย่างหนักและติดเหล้าจนในที่สุดก็ตายเพราะพิษสุราเรื่อรังหลังจากวันที่ได้พบกับแม่ชีได้ 6 ปี สิริอายุได้ 33 ปี ส่วนแม่ชีม๊ะเมี๊ยะก็ได้สิ้นอายุไขเมื่อมีอายุได้ 73 ปีที่เมืองมะละแม่ง ปิดตำนานรักที่ไม่สมหวังระหว่าเจ้าชายแห่งนครเชียงใหม่และสาวแม่ค้าบุหรี่เมืองมะละแหม่ง

จากตำนานรักระหว่างเจ้าน้อยศุขเกษมและมะเมี๊ยะ ได้รับการเผยแผ่ทั้งโดยการเล่าขานสืบต่อกันมา จากการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว อาจกล่าวได้ว่าสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้คนทั่วไปรู้จักเจ้าน้อยฯ และมะเมียะมากขึ้น คือ "เพลงมะเมี๊ยะ" ซึ่งขับร้องโดยคุณจรัล มโนเพชร นักร้อง โฟลค์ซองชาวล้านนา ดังเนื้อเพลงที่ยกมาต่อไปนี้

"มะเมียะ"
มะเมียะเป็นสาวแม่ค้า คนพม่าเมืองมะละแหม่ง
งามล้ำเหมือนเดือนส่องแสง คนมาแย่งหลงรักสาว
มะเมียะบ่ยอมรักไผ มอบใจหื้อหนุ่มเชื้อเจ้า เป็นลูกอุปราชท้าวเชียงใหม่
แต่เมื่อเจ้าชายจบการศึกษา จำต้องลาจากมะเมียะไป
เหมือนโดนมีดสับดาบฟันหัวใจ ปลอมเป็นพ่อชายหนีตามมา
เจ้าชายเป็นราชบุตร แต่สุดที่รักเป็นพม่า ผิดประเพณีสืบมา ต้องร้างลาแยกทาง
โอโอก็เมื่อวันนั้น วันที่ต้องส่งคืนบ้านนาง
เจ้าชายก็จัดขบวนช้างให้ไปส่งนางคืนทั้งน้ำตา
มะเมียะตรอมใจอาลัยขื่นขม ถวายบังคมทูลลา สยายผมลงเช็ดบาทบาทา
ขอลาไปก่อนแล้วชาตินี้เจ้าชายก็ตรอมใจตาย มะเมียะเลยไปบวชชี
ความรักมักเป็นเช่นนี้ แลเฮย........


สหรัฐ เตือนเหตุก่อการร้าย ในอินโดนีเซีย (US warns terrorist attacks in Indonesia .)


เอาแล้ว..อเมริกา ประกาศเตือนเหตุรุนแรง ในอินโดนีเซีย

สถานทูตอเมริกา ในอินโดนีเซีย ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเว็ปไซต์สถานทูต ประกาศเตือนพลเมืองของตน ในเมืองสุราบายา ที่เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดฯ ให้ระมัดระวังด้านความปลอดภัย อ้างว่าถูกคุกคาม

โดยประกาศเตือนระบุว่า เป็นกังวลถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับโรงแรม และธนาคารของอเมริกา ในสุราบายา ให้พลเมืองตระหนักถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น

ทั้งนี้อินโดฯ ถูกชาติตะวันตกขึ้นบัญชี ให้เป็นประเทศที่มีการก่อการร้ายแหล่งใหญ่แหล่งหนึ่ง เป็นผลพวงจากเหตุโจมตีหลายพื้นที่ในประเทศ มุ่งเป้าไปที่ชาวต่างชาติ เช่น ระเบิดที่บาหลี ที่มีชาวต่างชาติตายจำนวนมาก ฯลฯ อินโดฯ เคยแอบส่งทหารไปร่วมรบกับกลุ่มฮามาส ปาเลสไตน์ ช่วงถูกอิสราเอล ทิ้งระเบิดสังหารหมู่

ปัจจุบันมีชาวอินโดฯ เข้าไปร่วมเป็นนักรบกับกลุ่ม IS ในซีเรีย และ อิรัก มากกว่า 500 ราย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนหน้าเครื่องบินแอร์เซียตก เพียงวันเดียว ทางการอินโดฯ จับผู้ต้องสงสัย IS ได้ถึง 6 คนรวด

ทางการอเมริกา แถลงการณ์ขู่คน ในเมืองสุราบายา ที่เป็นสนามบินต้นทางแอร์เอเซีย ที่แอบลักลอบบินนอกตารางบิน จนเกิดเหตุตกลงทะเล ออกมาแบบนี้..น่าจะเป็นนัยยะอะไรที่ไอ้จุก ไอ้แกละ ก็รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับอินโดฯ อีก !!

จิ๊กซอหลายชิ้น เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เค้าโครงแล้ว จะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ..เหตุบังเอิญไม่มีจริงในโลก แต่เราจะรู้ทั้งหมด หรือไม่เท่านั้น !!


ช้าง กับประเพณี และประวัติศาสตร์ศาสตร์ ชาติไทย





ประเทศไทยเป็นชาติหนึ่งที่มีประเพณีที่ถือปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลซึ่งในประเพณีเหล่านี้ก็เกิดจากความเชื่อความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยในประเพณี หรือ พระราชพิธีต่างๆ นี้ก็ได้มีการนำช้างเข้ามาประกอบพิธีเพื่อเป็นมิ่งมงคล
จิตรกรรมภาพวาดของไทยที่ปรากฏในทุกสถานที่ที่สำคัญของเมืองไทยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับศาสนาความเชื่อ ที่ผู้คนในแต่ละพื้นที่มี งานจิตรกรรมส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีการนับถือพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่
ช้างที่มีชื่ออยู่ในวรรณคดีบาลี ช้างพาหนะของพระอินทร์ ผู้เป็นราชาแห่งเทพชั้นดาวดึงส์ คือ ช้างเอราวัณ เป็นช้างที่มีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนภูเขา ผิวกายผ่องดูสดใส เป็นช้างที่มีพลังอำนาจมาก ช้างไอราวัณมีหน้าที่ เป็นช้างพาหนะของพระอินทร์ โดยมีหน้าที่หลายอย่าง เช่น การนำพระอินทร์ออกรบ การทำฝน
พระนางสิริมหามายาสุบิน นิมิตเห็นพระเศวตกุญชร ซึ่งเป็นช้างเผือกขาว , ช้างนาฬาคิรี เป็นช้างที่มีรูปสูงใหญ่ วิ่งเร็ว ดุร้าย เป็นช้างที่พระเทวทัตใช้เป็นเครื่องมือในการทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่เมื่อนาฬาคิรี มาเข้าใกล้พระพุทธเจ้า เพื่อทำร้าย แต่กลับกลายเป็นว่าพระพุทธเจ้าทรงแผ่เมตตา จนนาฬาคิรีสงบ
ช้างคิรีเมขล์ เป็นช้างสูงใหญ่ มีกำลังมากเป็นช้างพาหนะของพญามาร ที่แปลงกายเพื่อทำร้ายพระพุทธเจ้า , ช้างปาลิไลยกะ เป็นช้างที่รับใช้พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่หมู่บ้านปาลิไลยกะ

ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ปกครองมานานหลายรัชสมัย ซึ่งในการปกครองแต่ละรัชสมัยนั้นก็ได้มีช้างเข้ามาเกี่ยวข้อง ในการปกครองตั้งแต่สมัยโบราณจนกระทั่งปัจจุบัน ช้างถือว่าเป็นสัตว์ที่ช่วยเสริมบารมีของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์
ตามความเชื่อในทางพระพุทธศาสนาที่ว่า พระพุทธเจ้าทรงเสวยราชย์เป็นพระยาช้าง ที่มีบุญบารมีมากว่า 500 ชาติ จึงถือได้ว่าช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของคนไทยเลยก็ว่าได้
ในสมัยโบราณมีการใช้ช้างในการทำสงคราม ซึ่งถือว่าช้างนั้นเป็นกำลังสำคัญในการสู้ศึกเพื่อเอกราชของไทยเลยก็ว่าได้ การใช้ช้างในการทำสงครามนั้น พระเจ้าแผ่นดิน หรือแม่ทัพ ก็จะใช้อาวุธของ้าวต่อสู้กันบนหลังช้าง
ส่วนช้างที่ใช้ต่อสู้นั้นก็จะต่อสู้กับช้างของศัตรู ช้างผู้ใดที่มีกำลังมากและสามารถสู้งัดช้างของศัตรู ก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะจะทำให้แม่ทัพนั้นสามารถใช้ของ้าวฟันคู่ต่อสู้ได้อย่างสะดวกและได้ชัยชนะ ซึ่งการรับชัยชนะนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของช้างและแม่ทัพด้วย
สมัยกรุงสุโขทัย พระเจ้ารามคำแหงมหาราชได้ชนช้างชนะขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ช้างเผือกตัวโปรดของพระเจ้ารามคำแหงมหาราชชื่อ รุจาครี ซึ่งช้างเผือกตัวนี้ทรงให้แต่งด้วยเครื่องคชาภรณ์ แล้วทรงนำราษฎรออกบำเพ็ญกุศลตามพระอาราม ในอรัญญิกเมื่อครั้งที่ทรงครองกรุงสุโขทัย
สมัยกรุงศรีอยุธยา มีช้างเผือกที่มีลักษณะพิเศษที่นำมาเป็นสัตว์คู่บารมีของพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาลจำนวนมาก เมื่อครั้งสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้รับช้างเผือกมาตัวหนึ่งซึ่งถือเป็นช้างเผือกแรกของกรุงศรีอยุธยา เลยก็ว่าได้ จนพระองค์ได้รับพระราชสมัญญาอีกพระนามหนึ่งว่า " พระเจ้าช้างเผือก"

ในสมัยพระมหาจักรพรรดิ ทรงใช้ช้างต่อสู้กับกองทัพของพม่าและได้เกิดตำนาน พระศรีสุริโยทัยขึ้น นอกจากนี้ยังมีการรบบนหลังช้างที่สำคัญกับคนไทยมากที่สุด ซึ่งถือเป็นการกู้เอกราชให้กับประเทศไทยเลยก็ว่าได้นั่นคือในสมัยสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นการรบระหว่างพระองค์ กับพระมหาอุปราชา แห่งกรุงหงสาวดี
โดยช้างที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้ในการทำศึกครั้งนี้คือ เจ้าพระยาไชยานุภาพ และเมื่อได้รับชัยชนะก็ได้สมญานามว่า เจ้าพระยาปราบหงสา ส่วนช้างที่พระสมเด็จพระเอกาทศรถผู้น้องทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร
ในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อครั้งที่ประชาชนเกิดความแตกแยกข้าศึกเข้าโจมตี พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นกำลังรวบรวมชาติไทยให้เป็นปึกแผ่นโดยทรงใช้ช้างในการรบด้วย โดยได้ช้างพังเผือก ได้เมื่อครั้งนำกองทัพกรุงไปล้อมเมืองฝาง เจ้าฝางหนีพาช้างไปด้วย กองทัพติดตามได้ลูกช้างนำมาถวาย
ประเพณีของไทยแต่เดิม ช้างเผือกเป็นช้างที่สำคัญในงานพระราชพิธี ซึ่งได้แก่ งานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา และงานพระราชพิธี ฉัตรมงคล การนำช้างเผือก ขึ้นยืนที่แท่นเกยช้างด้านตะวันตกพระที่นั่งดุสิตาภิรมย์ ในพระบรมมหาราชวังเพื่อประกอบ เกียรติยศจะต้องแต่งเครื่องคชาภรณ์ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีช้างสำคัญดังนี้

- รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ช้าง 10 เชือก
- รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีช้าง 6 เชือก
- รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีช้างเผือกอยู่ 20 เชือก มีการปรากฏการนำช้างพระที่นั่งยืนแท่นในการรับแขกเมืองไว้
- รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีช้าง 15 เชือก
- รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีช้าง 19 เชือก เคย เสด็จไปในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่เกี่ยวกับการขอความสมบูรณ์ให้กับต้นข้าวพืชพันธุ์ของประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ช้างที่นำมาใช้งานในพระราชพิธีเช่นนี้จะต้องมีการสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญก่อน
ช้างพลายมงคล เป็นช้างในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นช้างที่พระเจ้าเชียงใหม่ ถวายเป็นบรรณาการแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีโสกันต์
แต่พระองค์ในเวลานั้นยังทรงพระเยาว์ พร้อมกับประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งจะทรงเลี้ยงช้างก็ไม่สะดวกนัก จึงประทานให้ เจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ซึ่งเป็นพระอภิบาลเลี้ยงช้าง และคอยกราบทูลถวายรายงานที่เกี่ยวกับพลายมงคล
ช้างพลายมงคลมาอยู่ที่บ้านเจ้าพระยาเทเวศรฯ หรือที่เรียกกันว่าวังบ้านหม้อ ซึ่งมีบริเวณกว้างขวางมีทางเดินขนาดใหญ่ พร้อมกันนี้ก็เป็นบ้านที่มีคนอยู่มากมาย พลายมงคลเมื่อมาอยู่บ้านนี้ก็รู้สึกครึกครื้นเป็นช้างชอบเล่น
และเป็นที่ชื่นชอบแก่เด็กๆ รวมทั้งลูกๆ หลานๆ ของเจ้าพระยาเทเวศรฯ ด้วย พลายมงคลเป็นช้างที่ฉลาดจึงทำให้เจ้าพระยาเทเวศรฯ รักประดุจลูก พลายมงคลมีคนดูแลชื่อว่า ตาภู่ ซึ่งบุคคลทั้งสองนี้จึงเปรียบเหมือนเป็นพ่อของพลายมงคลเลยก็ว่าได้
- รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ช้าง พระเศวตวชิรพาหะ
- รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ช้าง พระเศวตคชเดชน์ดิลก
ช้างเผือก เป็นคำเรียกช้าง ซึ่งมีผิวหนังเป็นสีชมพูแกมเทา อันเป็นสีที่ผิด แปลกไปจากสีของผิวหนังช้างธรรมดา (ปกติเป็นสีเทาแกมดำ) ดังนั้น คำว่าช้างเผือกตามความ หมายที่เราเข้าใจกันจึงอาจจะเป็นทั้งช้างซึ่งมีมงคลลักษณะครบหรือไม่ครบก็ได้
ทางราชการจึงได้กำหนดศัพท์ที่ใช้เรียกชื่อช้างซึ่งมีลักษณะพิเศษขึ้นใหม่ ตามพระราชบัญญัติรักษาช้างป่า พุทธศักราช 2465 มาตรา 4 โดยระบุไว้ว่า "ช้างสำคัญ" ให้พึงเข้าใจว่า ช้างที่มีมงคลลักษณะ 7 ประการ
คือ ตาขาว เพดานขาว เล็บขาว ขน ขาว พื้นหนังขาว (หรือสีคล้ายหม้อใหม่) ขนหางยาว อัณฑะโกศขาว (หรือสีคล้ายหม้อใหม่) ส่วน "ช้างสีประหลาด" ให้พึงเข้าใจว่า ช้างที่มีมงคลลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดใน 7 อย่าง
"ช้างสำคัญ" ก็คือ ช้างเผือกที่มีลักษณะครบถ้วน สำหรับช้าง เผือกตามความหมายของคนทั่ว ๆ ไป ซึ่งส่วนใหญ่สังเกตจากลักษณะสีของผิวหนังนั้น อาจไม่ใช่ช้างสำคัญ หรือช้างเผือกที่มี ลักษณะครบถ้วนก็ได้
เพราะสีของช้างเป็นแต่เพียงมงคลลักษณะข้อ 1 ในจำนวนมงคลลักษณะ 7 ข้อ ซึ่งเข้าเกณฑ์ที่เรียกว่า "ช้างสีประหลาด" เท่านั้นความหมายคำว่า "ช้างเผือก" ของราชการ จึงต่างกับประชาชน
ลักษณะสำคัญของช้างเผือก
เป็นช้างพลายรูปงาม งาขวา - ซ้ายเรียวงาม กายสีดอกบัวแดง ขนตัวขุมละสองเส้น ขนโขมด สีน้ำผึ้งโปร่ง ขนบรรทัดหลังสีน้ำ ผึ้งโปร่งเจือแดง ขนหูสีขาว ขนหางสีน้ำผึ้งเจือแดงแก่ ตาขาวเจือเหลือง เพดานปากขาวเจือชมพู อัณฑะโกศขาวเจือชมพู เล็บขาว เจือเหลืองอ่อน หูและหางงามพร้อม เสียงเป็นศัพท์แตรงอน
- ในสมัยรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช มีช้างเผือกมากถึง 10 เชือก คือ
- พระเศวตอดุลยเดชพาหน
- พระเศวตวรรัตนกรี
- พระเศวตสุรคชาธาร
- พระศรีเศวตศุภลักษณ์
- พระเศวตศุทธวิลาศ
- พระวิมลรัตนกิริณี
- พระศรีนรารัฐราชกิริณี
- พระเศวตภาสุรคเชนทร์
- พระเทพรัตนกิริณี
- พระบรมนขทัศ
เรียนรู้เรื่องช้าง คือ การเรียนรู้จารีตประเพณี ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ของบรรพบรุษของชนเผ่าไทย ที่ทำให้คนไทยทุกคน มีแผ่นดินได้อยู่อาศัย มาจนบัดนี้

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2558

“รถหมูแดง” เพื่อนยามยากของคนไร้บ้าน(Food For Friends)


ทันทีที่รถกระบะหลังคาสูงสีแดงรูปทรงประหลาดตาจอดเทียบสนิท ณ ลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร คนไร้บ้านที่นั่งรอ นอนรอ ต่างก็เริ่มยิ้มอย่างมีความหวัง ในค่ำคืนนี้เขาจะไม่ต้องนอนแสบท้องเพราะความหิว เขาจะไม่ต้องนอนเจ็บแผลเพราะไร้เงินรักษา รถที่จุดประกายชีวิตต่อพลังให้แก่พวกเขานามว่า "หมูแดง"
เมื่อรถเบรกจอดประจำที่ เจ้าหน้าที่รวมถึงอาสาสมัครทั้งหลายต่างขยันขันแข็งพากันจัดเตรียมของ ทั้งข้าวปลาอาหาร น้ำดื่มเย็นชื่นใจ เบเกอรี่ รวมไปถึงเวชภัณฑ์ต่างๆ ตามภารกิจสำคัญช่วยเหลือผู้ยากไร้ในชื่อโครงการ ‘Food For Friends อาหารเพื่อเพื่อน เพื่อคนไร้บ้าน’ โดยมีรถโมบายเคลื่อนที่รูปหมูสีแดงเป็นเอกลักษณ์สะดุดตา

“จริงๆ ในส่วนของโครงการ Food For Friends เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมแล้วครับ แต่ตัวของรถหมูแดงเพิ่งออกมาวิ่งตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม ก็ทำกันเรื่อยมาตั้งแต่ตอนแรกคนประมาณ 100 คน พอมีการบอกปากต่อปากตอนนี้ก็เพิ่มเป็นเท่าตัวเป็น 300-400 คน ซึ่งพวกเค้าจะอาศัยที่นี่เป็นที่พักนอน ส่วนช่วงเวลากลางวันก็จะออกไปหางาน เราเลยเลือกเวลาหัวค่ำในการลงมาทำกิจกรรม
ส่วนที่มาทำเรื่องรถทีหลัง คือมองว่ารถหมูแดงน่าจะเป็นตัวที่ช่วยสื่อสารกับสังคมได้ดี ในเรื่องของการสร้างกิมมิค สร้างความสนใจ เพราะเราทำเรื่องของกิน โจทย์นี้ก็มาตกที่หมู ส่วนที่เลือกเป็นสีแดง หนึ่งคือเห็นในที่มืดชัดเจน สองเรื่องของการล้อชื่อ สีแดงคือหมูแดง คนจะติดปากและพ้องกับชื่อของกินด้วยครับ อีกอย่างคืออยากให้คนที่เห็นรถหมูแดงนึกถึงคนไร้บ้านด้วย”


ถึงแม้จะวุ่นวายกับการจัดการดูแลงาน แต่ เอ๋-สิทธิพล ชูประจง ผู้ประสานงานโครงการ Food For Friends ก็ยังคอยตอบคำถามด้วยความเต็มใจ โดยทุกวันจันทร์ตั้งแต่เวลา 20.00 - 22.00 น. จะมีการแจกอาหาร การปฐมพยาบาล ทำแผล ให้คำปรึกษา และร่วมพูดคุย ซึ่งเอ๋ กล่าวว่า ในอนาคตอยากจะขยายโครงการออกไปอีกเรื่อยๆ อาทิ ตามหัวลำโพง สถานีขนส่งหมอชิต เพื่อช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนไร้บ้าน
ด้านทุนทรัพย์ของกิจกรรมนี้เริ่มต้นจากคนใจดีที่เอ๋บอกกล่าวเพียงสั้นๆ ว่าชื่อคุณอั้ม มีแนวคิดการอยากเปิดโรงทานให้กับคนยากไร้ ส่วนหลังจากนั้น มาจากน้ำใจของคนที่บริจาคเข้ามา ทั้งในรูปของเงิน ของสด ของใช้ และยา ก็จะถูกส่งต่อมายังคนไร้บ้านเหล่านี้เพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์ต่อไป

“แค่มีข้าวให้กิน ผมก็ดีใจ เพราะตกงานมาร่วมเดือนแล้วครับ ก็นอนพักตามที่คนอื่นเค้าอยู่กัน อย่างเสาชิงช้า หมอชิต ส่วนวันอื่นๆ ผมก็จะไปอาศัยกินข้าวที่สภาสงเคราะห์ครับ” สอน ชายวัยกลางคนจากเมืองอุบลฯ ดั้นด้นเข้ามาทำงานในเมืองหลวง หากย้อนไปเมื่อเดือนก่อนเขาคือรปภ. ประจำห้างแห่งหนึ่ง แต่บัดนี้สอนกลายเป็นคนไร้บ้าน สะพายกระเป๋าเป้ใบกระชับข้างตัว ออกหางานต่อชีวิตวันต่อวัน
เมื่อกวาดสายตาไปก็จะเห็นเหล่าคนไร้บ้านที่ไม่ต่างไปจากสอน บ้างก็นั่งกินข้าว บ้างก็ยืนคุย บ้างก็นั่งทำแผล ถึงพวกเค้าจะมาจากต่างที่กัน แต่ ณ ที่นี้ เรามองเห็นสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันอยู่ในแววตา และรอยยิ้มแห้งๆ บนใบหน้า ที่สื่อว่าพวกเค้ายังมีความหวังที่จะมีชีวิตต่อในวันพรุ่งนี้ จากน้ำใจที่หยิบยื่นให้โดยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
หากใครสนใจอยากร่วมเป็นแบ่งปันรอยยิ้มให้กับผู้คนไร้บ้าน สามารถติดต่อบริจาคได้ที่ "โครงการ Food For Friends มูลนิธิกระจกเงา" โทร: 02-973-2236 ถึง 7 ต่อ 104 หรือติดตามข้อมูลได้ที่
 http://www.humanonstreet.org/foodforfriends.php

Cr:ผู้จัดการ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558

สงคราม6วัน เริ่มต้นความบาดหมางระหว่างยิวและอาหรับ (occupied territoried)




....สงครามระหว่างยิว(ซึ่งมีมะกันหนุนหลัง)กับประเทศในโลกอาหรับ
ผลของการรบครังนี้ อาหรับพ่ายแพ้ภายในเวลาเพียง6วัน สูญเสียกำลังอาวุธยุทธโธปกรณ์มากมาย ขณะที่ยิวสูญเสียเพียงเล็กน้อย
สงคราม 6 วันเป็นที่มาของคำว่าดินแดนยึดครอง หรือ occupied territoried ซึ่งอยู่ในครอบครองของอิสราเอล ซึ่งถือว่าเป็นรากเงง้าปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและชาวอาหรับ


สงคราม 6 วันเป็นสงครามต่อเนื่องจากความความขัดแย้งนี้ หลังจากสงครามครั้งแรกจุดปะทุขึ้นเมื่ออิสราเอลประกาศตั้งประเทศในดินแดนปาเลสไตน์ในปี 1948 และชักชวนให้ชาวยิวอพยพเข้าไปอยู่ ตามลัทธิฟื้นชนชาติยิวหรือไซออนิสม์ซึ่งมีมาตั้งแต่ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวอาหรับโกรธเคือง เพราะเห็นว่า อิสราเอลได้แย่งดินแดนของพวกตน ในขณะที่ชาวอิสราเอลยึดถือว่าดินแดนที่อิสราเอลตั้งอยู่เป็นแผ่นดินแห่งพันธะสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้าได้สัญญาไว้ให้แก่ชาวอิสราเอล


สงคราม 6 วันเกิดขึ้นในปี 1967 เริ่มขึ้นจากการที่ซีเรียระดมยิงไปยังอาณานิคมยิวในที่ราบสูงโกลัน กองทัพของอิสราเอลจึงโต้ตอบกลับไปทั้งทางบกและทางอากาศ อย่างไรก็ตาม อิสราเอลยังไม่เปิดฉากรบอย่างเต็มตัว จนกระทั่งอียิปต์ประกาศปิดช่องแคบตีรานไม่ให้เรืออิสราเอลผ่านในวันที่ 22 พฤษภาคม และประกาศปิดอ่าวอกาบา ประชาชนอิสราเอลจึงได้เรียกร้องให้รัฐบาลหันมาใช้กำลังทหารเข้าโจมตีอาหรับเพื่อแก้แค้น โดยอิสราเอลได้สั่งระดมพลและประชุมเพื่อหาทางตอบโต้ท่าทีในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1967


จะเห็นว่าอิสราเอลเล็กกว่า แต่สามารถเอาชนะในสงครามนี้อย่างมีประสิทธิภาพได้ ต้องยกความดีให้กับโมเช่ ดายัน ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอลในขณะนั้น ด้วยความชาญฉลาด และชำนาญในการรบของโมเช่ ดายัน ทำให้เขาสามารถวางแผนการโจมตีกองกำลังทหารอาหรับได้อย่างมีประสิทธิภาพและชนะไปที่สุด


ผลจากการเจรจาจนบรรลุข้อตกลงในสัญญาสงบศึกครั้งนั้น ทำให้ได้ข้อสรุปว่า อิสราเอลสามารถครอบครองดินแดนที่เคยยึดครองไว้ได้ 3 แห่งด้วยกัน 1 พื้นที่ส่วนใหญ่บนที่ราบสูงโกลันจากซีเรีย 2 พื้นที่ฝั่งตะวันตกทั้งหมดของแม่น้ำจอร์แดน รวมทั้งพื้นที่ทางตะวันออกของนครเยรูซาเล็มและเขตเวสต์แบงก์ 3 พื้นที่ทั้งหมดของแหลมไซไนไปจนถึงคลองสุเอซและฉนวนกาซา
การยึดครองนี้เป็นปัญหาที่ทำให้อิสราเอลและชาติอาหรับบาดหมางกันมาตลอด เช่น สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ในเลบานอนที่ต่อต้านการครอบครองดินแดนในตะวันออกกลางของของอิสราเอล ผลการสู้รบครั้งนี้ ทำให้ชาวเลบานอนเสียชีวิตไปนับพันคน
........เรื่องราวความบาดหมางระหว่างยิวกับอาหรับ เล่าภายใน1ปีก็ไม่หมด... เพื่อนสมาชิกสามารถติดตามได้ตามเว็บต่างๆซึ่งมีข้อมูลมากมาย
ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ.