วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

ความรักระหว่างชนชั้น เจ้าชายล้านนาและหญิงสาวชาวผม่า


มาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับเรื่อง ความรักระหว่างชนชั้นอีกเรื่องหนึ่ง ระหว่าง เจ้าชายผู้สูงศักดิ์กับหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา ถ้าเป็นนิทานขายดีอย่างวอลดิสนี่อย่างซินเดอเรลล่า เจ้าชายและหญิงสาวต้องได้ครองคู่กันแต่ ชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแต่มันกลับจบลงด้วยความเศ้า เริ่มเรื่องกันเลยดีกว่า ครับ

เมื่อประมาณ ร้อยกว่าปีก่อนสมัยรัชกาล ที่ 5 กรุงสยามได้ถูก ต่างชาติล่าอาณานิคม รุกราน อย่าง ฝรั่งเศส และอังกฤษ โดยทางเหนือนั้น ได้ อินเดีย พม่า และรัฐฉาน ไปแล้ว ยังคงเหลือ ล้านนา อีกแห่งที่ยังไม่ได้ยึดครองซึ่งที่ล้านนานี้ อุดมสมบูรณ์ไปด้วย ทรัพยากรณ์ป่าไม้ และ ของป่ามากมายที่ยังไม่ได้สูบออกไปเป็นรายได้เข้าประเทศอังกฤษ ในขณะนั้นอังกฤษ ได้เริ่มเข้ามาขอสัมปทานป่าไม้ จากเจ้าผู้ครองนครของล้านนา ซึ่งในขณะนั้น ทางอังกฤษและกรุงสยามเริ่มมีปัญหาและหวาดระแวงซึ่งกันและกันเกี่ยวกับล้านนา ทางสยามก็กลัวว่าอังกฤษจะเข้ามายึดครองและมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ทางพระนางวิตตอเรีย อยากได้ เจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นบุตรสาวเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ไปเป็นบุตรบุญธรรมที่เมืองอังกฤษและขุนนางในราชสำนักล้านนาเริ่มแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่านหนึ่งอยากไปเข้ากับฝั่งอังกฤษ และ อีกฝั่งอยากเข้ากับทางกรุงสยาม เมื่อได้ยินข่าวดังนั้น พระปิยะมหาราฃ รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงสยามได้ทำการมาขอหมั้น เจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นธิดาของ พระเจ้าอินทรวิชยานนไปเป็นสนม เพื่อตัดปัญหาทางการเมืองเรื่องความมั่นคงของล้านนา โดยที่ เจ้าดารารัศมีนั้นเดินทางไปอยู่ รัตนโกสินทร์ ในเวลาต่อมาเมื่อมีประชันษาได้ 13 ปี

ต่อมา เจ้าอุตรการโกศล หรือ เจ้าน้อยสุขเกษม ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของ เจ้าดารารัศมี (องค์นี้แหละครัีบเจ้าชายของเรา)ได้ถูกพระบิดา หรือ เจ้าแก้วนวรัฐ ส่งเรียนหนังสือ ที่โรงเรียนเซนต์แพทริกตั้งแต่อายุ 15 ปี ที่โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนแคทอลิกในเมืองมะละแหม่งประเทศพม่า ซึ่งโรงเรียนนี้สอนภาษาอังกฤษและภาษาพม่า เนื้องด้วยสมัยนั้นการค้าขายของทางเชียงใหม่และล้านนา มักจะค้าขายกับคน พม่าและอังกฤษเป็นหลัก ภาษาทั้งสองจึงจำเป็นมากสำหรับการค้าขาย และที่นี่เอง เป็นสถานที่พบรักกันระหว่าง เจ้าชายผู้สูงศักดิ์และดรุณีสาวน้อยชาวพม่ามีนามว่า มะเมี๊ยะ มะเมี๊ยะนั้น เป็นแม่ค้าขายบุหรี่ในตลาดและเจ้าน้อยได้ไปเดินเที่ยวตลาดและเ้กิดพบรักกับมะเมี๊ยะ คาดว่าคงเป็นรักแรกของเจ้าน้อยและมะเมี๊ยะด้วย เมื่อ เจ้าน้อยอายุได้ 19 ปี และ มะเมี๊ยะอายุ 15 ปี ทั้งคู่ก็ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน จนเมื่อ เจ้าน้อยจบการศึกษา เมื่ออายุได้ 20 ปีจึงได้เดินทางกลับเชียงใหม่และได้ให้ม๊ะเมี๊ยะปลอมตัวเป็นเด็กรับใช้ผู้ชายกลับมาด้วยและเมื่อถึงเชียงใหม่ก็ได้แอบเอามะเมี๊ยไปซ่อนไว้ในเืรือนหลังเล็ก โดยไม่ยอมให้ เจ้าพ่อและเจ้าแม่รู้ว่าตนเองนั้นได้นำมะเมี๊ยะมาด้วย

ทางด้าน เจ้าแก้วนวรัฐผู้เป็นราชบิดาและเจ้าจามรีมหาเทวี ได้ทรงหมั้นหมายเจ้าหญิงบัวชุมไว้แล้ว และจะใก้แต่งงานกัน
ทางด้านเจ้าน้อยไม่ยอมแต่งงานเลยเปิดเผยว่ามีเมียแล้วคือมะเมี้ยะ เอามะเมี้ยะมากราบเจ้าพ่อเจ้าแม่แต่ไม่ได้รับการยอมรับ และเรื่องนี้ก็ล่วงรู้ไปทางเจ้าดารารัศมีและฝั่งสยาม จึงทำให้เกิดความหวาดระแวงและอาจจะเป็นประเด็นให้ทางอังกฤษอ้างสิทธิ์ยึนเอาได้เพราะ คนที่อยู่ในการปกครองของอังกฤษ(มะเมี๊ยะ)ได้แต่งงานกับเจ้าน้อยแล้วก็จะถือว่าเจ้าน้อยเป็นคนอังกฤษด้วยเช่นกันและที่สำคัญมีแนวโน้มว่า เจ้าน้อยสุขเกษมนั้นมีโอกาศที่จะได้เป็นเจ้าหลวงผู้ถือครองนครเชียงใหม่และจะทำให้เสียเชียงใหม่กับล้านนาให้กับอังกฤษ จึงทำให้การแต่งงานของเจ้าน้อยกับม๊ะเมียะเป็นไปไม่ได้ด้วยเหตุผลทางการเมืองและการไม่เป็นที่ยอมรับของพระญาติของเจ้าน้อยและได้บังคับให้ม๊ะเมี๊ยะเดินทางกลับไปพม่า โดยเจ้าน้อยได้นำขบวนช้างขบวนม้าไปส่งถึงหน้าประตูเมือง ระหว่างทางจากคุ้มเจ้าหลวงไปทางประตูเมืองนั้นชาวบ้านต่างมามุงดูเต็มสองข้างทาง ด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามะเมี๊ยะนั้นงามนักหนา เจ้าน้อยได้สัญญาว่า จะเดินทางไปรับกลับในอีกสามเดือนและสาบานรักต่อกันว่า ทั้งคู่จะรักกันและไม่นอกใจไปมีคนอื่นถ้าผู้ใดผิดคำสาบาญขอให้อายุสั้นและม๊ะเมี๊ยะก็ได้สยายผมของตนเองก้มกราบแทบเท้าและเอาผมของตนเองเช็ดเท้าของเจ้าน้อยเพื่อแสดงถึงความรักที่มีต่อเจ้าน้อยจนทำให้่ชาวบ้านที่เห็นต่างร้องไห้กันออกมาเพราะความสงสารทั้งคู่

ในเวลาต่อมา เจ้าน้อยได้ถูกเจ้าดารารัศมีเรียนตัวไปยังสยามและได้จับให้แต่งงานกับเจ้าหญิงบัวชุมและได้กักตัวอยู่ที่นั่นเลยเพื่อตัดปัญหาและเพือความมั่นคงทางการเมืองจะได้ไม่ถูกทางสยามหวาดระแวง

ทางด้านม๊ะเมี๊ยะเมื่อครบสัญญาสามเดือนแล้วทางเจ้าน้อยก็ยังไม่มาจึงตัดสินใจบวชเป็นชีว่าตนนั้นไม่ได้ผิดคำสาบาน

สุดท้ายเมื่อช่วงเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เจ้าน้อยได้เดินทางกลับมายังเชียงใหม่และแม่ชีม๊ะเมี๊ยะได้รู้ข่าวว่าเจ้าน้อยกลับมาอยู่เชียงใหม่แล้วก็ได้เดินทางมาจากเมืองมะละแหม่งเพื่อมาทวงคำสัญญาและคำสาบานของเจ้าน้อยที่มีต่อตนโดยไปรอพบที่หน้าคุ้มของเจ้าน้อยแต่เจ้าน้อยไม่ยอมมาพบเพราะตนนั้นได้ผิดคำสัญญาที่มีต่อม๊ะเมี๊ยะแต่ได้ให้คนนำแหวนทับทิม(ตามคำบอกเล่าบอกว่าแหวนทับทิมนั้นแทนหัวใจ)และเงินจำนวนหนึ่งมอบให้ส่วนแม่ชีม๊ะเมี๊ยะรับไว้แต่แหวนทับทิมและมาถอนคำสาบานที่เคยมีต่อกันแต่เจ้าน้อยไม่ยอมมาพบและแม่ชีก็ได้กลับไปยังเมืองมะละแหม่งตามเดิม

 ส่วนทางเจ้าน้อยนั้น ก็เริ่มดื่มเหล้าอย่างหนักและติดเหล้าจนในที่สุดก็ตายเพราะพิษสุราเรื่อรังหลังจากวันที่ได้พบกับแม่ชีได้ 6 ปี สิริอายุได้ 33 ปี ส่วนแม่ชีม๊ะเมี๊ยะก็ได้สิ้นอายุไขเมื่อมีอายุได้ 73 ปีที่เมืองมะละแม่ง ปิดตำนานรักที่ไม่สมหวังระหว่าเจ้าชายแห่งนครเชียงใหม่และสาวแม่ค้าบุหรี่เมืองมะละแหม่ง

จากตำนานรักระหว่างเจ้าน้อยศุขเกษมและมะเมี๊ยะ ได้รับการเผยแผ่ทั้งโดยการเล่าขานสืบต่อกันมา จากการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว อาจกล่าวได้ว่าสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้คนทั่วไปรู้จักเจ้าน้อยฯ และมะเมียะมากขึ้น คือ "เพลงมะเมี๊ยะ" ซึ่งขับร้องโดยคุณจรัล มโนเพชร นักร้อง โฟลค์ซองชาวล้านนา ดังเนื้อเพลงที่ยกมาต่อไปนี้

"มะเมียะ"
มะเมียะเป็นสาวแม่ค้า คนพม่าเมืองมะละแหม่ง
งามล้ำเหมือนเดือนส่องแสง คนมาแย่งหลงรักสาว
มะเมียะบ่ยอมรักไผ มอบใจหื้อหนุ่มเชื้อเจ้า เป็นลูกอุปราชท้าวเชียงใหม่
แต่เมื่อเจ้าชายจบการศึกษา จำต้องลาจากมะเมียะไป
เหมือนโดนมีดสับดาบฟันหัวใจ ปลอมเป็นพ่อชายหนีตามมา
เจ้าชายเป็นราชบุตร แต่สุดที่รักเป็นพม่า ผิดประเพณีสืบมา ต้องร้างลาแยกทาง
โอโอก็เมื่อวันนั้น วันที่ต้องส่งคืนบ้านนาง
เจ้าชายก็จัดขบวนช้างให้ไปส่งนางคืนทั้งน้ำตา
มะเมียะตรอมใจอาลัยขื่นขม ถวายบังคมทูลลา สยายผมลงเช็ดบาทบาทา
ขอลาไปก่อนแล้วชาตินี้เจ้าชายก็ตรอมใจตาย มะเมียะเลยไปบวชชี
ความรักมักเป็นเช่นนี้ แลเฮย........


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น