วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

พายุโซนร้อน “ชังมี”(JANGMI)


วันที่ 30 ธ.ค.57 พายุใหม่มาอีกลูกแล้วอีก 4 วันถึงภาคใต้ต่อมาเลย์
เป็นไปตามคาดก่อนหน้า พายุโซนร้อน “ชังมี” มีศูนย์กลางอยู่บริเวณตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์ มีความเร็วสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวไปทางตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอนนี้โจมตีฟิลิปปินส์ซะอ่วมตายไปแล้วมากกว่า 3 ราย และเดือดร้อยอีก 1 พันกว่าคน
คาดว่าพายุนี้จะเคลื่อนตัวไปบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง ในวันพรุ่งนี้ หลังจากนั้น จะเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ในช่วงวันที่ 3-4 มกราคม 2558 จะมีบางส่วนน้อยเท่านั้นที่ติดชายแดนมาเลย์ และติดชายแดนเขมร ที่จะมโดนหางๆ อิทธิพลฝนตกในไทย จึงค่อยหายใจได้คล่องขึ้น





วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สนามแม่เหล็กที่แปรผัน ทำให้แผ่นดินไหว ส่งผลต่อการบิน




วันที่ 30 ธ.ค.57 

เครื่องบินหวิดร่วงที่ลอนดอนอีกแล้ว

เครื่องบินโดยสารของสายการบินเวอร์จินแอตแลนติก ชนิดโบอิ้ ง 747 เที่ยวบิน VS43 พร้อมด้วยผู้โดยสาร และลูกเรือ 462 คน ออกจากท่าอากาศยานแกตวิค ในกรุงลอนดอน ที่เป็น ท่าอากาศยานใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของอังกฤษ มุ่งหน้าไปยังลาสเวกัสของ สหรัฐ

แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อล้อเครื่องบินเกิดมีปัญหาเอาดื้อๆ ทำให้นักบินได้นำเครื่องบิน ทำการบินวนไปทางตอนใต้ของอังกฤษ เพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิงให้เหลือน้อยลง และลดน้ำหนักของเครื่องบิน ท่ามกลางความวิตกกังวลจิตตก ของผู้โดยสาร

นักบินร้องขอสนามบินว่า ต้องนำเครื่องกลับมาลงจอดฉุกเฉิน ที่ท่าอากาศยานแกตวิคดังเดิม ทำให้ท่าอากาศยานฯ ต้องปิดทางวิ่งด้านหนึ่งเป็นการชั่วคราวราว 4 ชม. โดยห้ามเครื่องบินขึ้น และลง จนนักบินลำนี้สามารถนำเครื่องบิน ลงจอดได้สำเร็จ แต่ก็ทำให้ผู้โดยสารบางคนบาดเจ็บเล็กน้อย

เจ้าหน้าที่ดับเพลิง และรถพยาบาลได้รีบรุดไปยังเครื่องบินอย่างรวดเร็ว หลังจากเครื่องลงจอด และท่าอากาศยานสามารถเปิดทางวิ่งได้อีกครั้งเมื่อเช้าตรู่วันนี้


นี่แหละ สนามแม่เหล็กที่แปรผันรุนแรง จะทำให้ระบบอิเล็คทรอนิกส์ต่างๆ ชำรุดและใช้การไม่ได้ตามปกติ ยิ่งเมื่อเครื่องบินลอยขึ้นฟ้า ก็จะรับรังสีจากดวงอาทิตย์พุ่งเข้ามาปะทะเสริมอีกปัจจัยหนึ่ง ยังดีที่ระบบสื่อสารใช้การได้ และนักบินเก่ง ที่บินวน จนคะเนปริมาณน้ำหนักน้ำมันเหลือได้พอดี

ถ้ามีน้ำมันหนักกว่านี้ หรือขืนบินต่อไปลงที่มะกัน เครื่องบินล้อกางไม่ได้ เพราะมันไม่ยอมฟังคำสั่งของระบบอิเลคทรอนิกส์ ผลที่ออกมาอาจเศร้าฉลองปีใหม่ ที่ปีนี้ผู้โดยสารโดยเครื่องบินตายรวมกันไปแล้วกว่า 700 รายแล้ว

และวันนี้เช่นเดียวกันครับ ไทยแอร์เอเชียเกิดเหตุขัดข้อง ขอลงดอนเมือง
สายการบินไทยแอร์เอเชีย ซึ่งบินต้นทางจากท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ ปลายทางถึงสนามบินท่าอากาศยานขอนแก่น เกิดเหตุขัดข้องระหว่างเครื่องบินทะยานขึ้นได้ไม่นาน ทำให้ต้องขอบินกลับมาลงจอดที่สนามบินดอนเมืองอีกครั้ง รายละเอียดอยุ่ในระหว่างการตรวจสอบ


ขอเตือนว่าวันนี้ได้เกิด พายุสุริยะมากระทบสนามแม่เหล็กโลก ระดับชั้น G1 ค่า KP=5 จะเกิดผลกระทบระบบพลังงาน ระบบการควบคุมแรงดันไฟฟ้าอาจเกิดปัญหาได้ รบกวนสัญญาณโทรศัพท์ และระบบนำทางของเครื่องบินหรือเรือเดินสมุทร ดาวเทียมอาจเกิดความผิดปกติหรือเสียหายได้


ภาพแสงออโรร่า ที่เกิดจากรังสีของดวงอาทิตย์ เข้าปะทะโลกในภูมิภาคต่างๆ เช่น แถบอาร์คติก อลาสก้า แคนาดา นอร์เวย์ จนสนามแม่เหล็กโลกได้รับผลกระทบแปรปรวน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำเกิดพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง ฝนตกหนัก อากาศหนาวเย็นเฉียบพลัน อุณหภูมิลดลง หิมะตกหนัก ไปทั่วโลก

อากาศที่เย็นลงฉับพลัน ทำให้หิมะตกอย่างหนักย่านเทือกเขาแอลป์ ของฝรั่งเศส ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินระดับ 2 ถนนหนาไปด้วยหิมะ การจราจรเป็นอัมพาต ระนักนักท่องเที่ยวกว่า 15,000 คัน ไปต่อไม่ได้...หากรัสเซียตัดการส่งก๊าซไปขายให้ EU ตอนนี้ จะได้เห็นประชาชนหนาวตายเป็นเบือจำนวนมาก และธุรกิจวินาศยับเยิน

มนุษย์ในบางพื้นที่ปรับตัวไม่ทัน เช่น ภาคตะวันออกของอินเดียส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 130 ราย เที่ยวบินล่าช้าไปแล้ว 137 เที่ยว ยกเลิกอีก 14 เที่ยว , รถไฟที่ล่าช้าไป 78 เที่ยว เพราะทัศนวิสัยแย่

การขึ้นบินในขณะอากาศเปลี่ยนแปลงฉับพลัน อุณภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งมากๆ น้ำแข็งสามารถเกาะเครื่องยนต์จนน็อคได้ และจะทำให้เครื่องบินเสียการทรงตัว ต้องขอลงฉุกเฉินเหมือนเที่ยวบินมะกัน ที่ขอลงในญี่ปุ่น แต่ถ้ายังฝืนบินต่อ ย่อมทำให้เที่ยวบินนั้นกลายเป็นเที่ยวบินมรณะได้

ช่วงนี้จึงเห็นพายุฝนกระหน่ำภาคใต้ของไทยอย่างต่อเนื่อง และมีพายุลูกใหม่กำลังก่อตัวแถวฟิลิปปินส์ตายไปแล้ว 3 ราย ทิศทางมาทางใต้ของไทยหลังปีใหม่ ต้องประเมินราววันที่ 2 ม.ค.58 ว่าจะสลายตัวในอ่าวไทยไปหรือไม่


วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เขตพื้นที่ 51อเมริกา(Area 51)

วันนี้ลองเล่าเรื่องผ่อนคลาย "ปริศนาเชิงความบันเทิง" ดูบ้าง ในโลกมีสถานที่ลึกลับ หรือแปลกประหลาด ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเป็นจำนวนมาก เช่น โบราณสถาน หรือดินแดนต่างๆ แต่มีพื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งโด่งดังมานานแล้วเรียกว่า “เขตพื้นที่ 51”
Area 51 คือ ฐานทัพลับ ของกองทัพอากาศสหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยว ลึกเข้าไปในบริเวณต้องห้ามอันกว้างขวางของรัฐบาล ภาพถ่ายดาวเทียมทะเลทรายเนวาด้า แสดงเห็นถึงรันเวย์ 7 ช่องทาง และโรงเก็บเครื่องบินมากกว่า 25 โรง


ค.ศ. 1955 เคลลี่ จอห์นสัน ผู้ออกแบบเครื่องบินจารกรรม U2 ได้รับมอบหมายจาก CIA ให้ออกแบบเครื่องบิน U2 นอกจากนี้แล้วเขายังได้รับมอบหมาย ให้หาสถานที่เพื่อใช้ทดสอบ U2 นี้ด้วย เคลลี่ได้ส่ง โทนี เลอวิเอร์ นักบินที่จะทำการบินทดสอบเครื่องบิน U2 กับ ดอร์ซี่ เคมเมเรอร์
ไปสำรวจพื้นที่ร้างกลางทะเลทรายตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย , เนวาดา และ อริโซนา 2 สัปดาห์ต่อมาโทนี ก็กลับมาส่งรายงาน เคลลี่ดูรายงานเปรียบเทียบสถานที่ทั้ง 3 แห่งแล้วก็ตัดสินใจเลือกพื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ในรัฐเนวาดา ฐานทัพถูกสร้างรอบ ๆ ทะเลสาบ
ซึ่งได้เปรียบทางยุทธวิธี เพราะสิ่งที่รัฐบาลต้องการก็คือ ที่เหมาะสมในการลงจอดซึ่งสามารถลงจอดทิศใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าลมมาทางไหนและรอบ ๆ ทะเลสาบนี้ก็มีลักษณะแบบนั้น แถมยังถูกป้องกันโดยแนวเทือกเขารอบ ๆ ทะเลสาบกรูม มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกมากมายนับตั้งแต่มีการก่อสร้างฐานทัพขึ้น เคลลี่เรียกมันว่า พาราไดซ์

แต่หลังจากมีการทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2 ในปีนั้น ซึ่งรัฐบาลปกปิดว่ามันถูกใช้สำหรับการสำรวจสภาพอากาศ U2 คืออาวุธพร้อมกล้องความละเอียดสูง ที่ได้รับการออกแบบเพื่อบินที่ระดับความสูง 21,000 เมตร และถ่ายรูปจากขอบชั้นบรรยากาศ ท่ามกลางการแข่งขันด้านอาวุธในสงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต
เครื่อง U2 คือความหวังของอเมริกา เพื่อติดตามการขยายตัวของคลังแสงนิวเคลียร์ ของโซเวียต และมันต้องการนักบินที่หายใจเอาออกซิเจนบริสุทธิ์ เพื่อความอยู่รอดในความสูงขนาดนั้นได้ น้ำหนักทุกกิโลที่เพิ่มขึ้น แม้แต่ล้ออาจทำให้เครื่อง U2 นั้นบินได้ต่ำลง เพราะน้ำมันทั้งหมดนั้นอยู่ที่ปีก
ไม่มีทางเลยที่จะเอาปลายปีกนั้นขึ้นจากพื้น พวกเค้าจึงต้องมีที่ค้ำให้ปีกยกขึ้นจากพื้นและทันทีที่ปีกยกขึ้นที่ค้ำพวกนั้นก็หลุดออก เครื่อง U2 นั้นบินเหนือระดับการบินของเครื่องบินโดยสารปกติถึงสามเท่า และบางครั้งก็จะถูกพบเห็นโดยพลเรือน ขณะที่ในยุนั้นสงครามเย็นและความสนใจของชาวอเมริกันต่อยูเอฟโอ ถึงจุดสูงสุด เครื่องบินสีเงิน U2 จึงสร้างความสับสนให้นึกไปถึง ยูเอฟโอ
ฐานทัพลับแห่งนี้เรียกสั้นๆ ว่า แรนช์ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า วอร์เตอร์ทาวน์ สตริป ตามชื่อเมืองหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ แอลเลน ดูลเลส ผู้อำนวยการ CIA ในสมัยนั้น


ค.ศ. 1955-1968 มีการทดลองระเบิดของนิวเคลียร์ ที่ Area 51 มากกว่า 450 ครั้ง ต่อมาโครงการลับโครงการใหม่ที่เรียกว่า “อ๊อกซ์คาร์ท” เพราะอเมริกา มองว่าในสงครามเย็น ข้อมูลนั้นเป็นเหมือนอาวุธที่ทรงอานุภาพ โครงการอ๊อกซ์คาร์ท ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือสอดแนมที่ดีที่สุดของอเมริกา
หรือเครื่องบินสเตลท์ ลำแรกของโลก มันบินได้เร็ว และสูงพอที่จะหนีจรวดได้ คนงานหลายพันคนทำงานเพื่อเครื่องบินที่อยู่ภายใต้โรงงานของล็อคฮีด ในเบอร์แบงก์รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่แม้จะมีขนาดของการผลิตขนาดใหญ่ แต่ตัวโครงการก็ยังคงเป็นความลับ เครื่องบินนั้นต้องสามารถทนต่ออุณหภูมิ
ที่เกิดจากแรงเสียดสีของอากาศขณะบินผ่านชั้นบรรยากาศที่ความเร็ว 2,000 ไมล์ต่อชั่วโมง 93 เปอร์เซ็นต์ ของอ๊อกซ์คาร์ทนั้น เป็นไทเทเนียม แต่ความต้องการไทเทเนียมจำนวนมาก อเมริกาจึงต้องทำข้อตกลงกับโซเวียต เมื่อต้นแบบของอ๊อกซ์คาร์ทพร้อม รัฐบาลต้องการย้ายมันไปที่แอเรีย 51 จากสายการผลิตในแคลิฟอร์เนีย
แต่เพราะมันยาวเกินไปและปีกก็กว้างเกินไป ชิ้นส่วนจึงถูกแยกออกและลากไปตามทางจากเบอร์แบงก์ไปยังกรูมเลก ภายในแอเรีย 51 คนงานเกือบ 2,000 คน ทำเพื่อเป้าหมายเดียวเพื่อทำโครงการลับสุดยอดให้สำเร็จ อ๊อกซ์คาร์ท คือ เครื่องบินสเตลท์ลำแรกของโลก ถูกออกแบบมาเพื่อให้ศัตรูนั้นตรวจจับด้วยเรดาร์ไม่ได้
มันอาจบินจากชายฝังหนึ่งไปยังอีกฝั่งใน 70 นาที แต่วัตถุประสงค์เดียวของมันคือเพื่อการสอดแนม ภาพเกาหลีเหนือ ที่ถูกปล่อยออกมาโดย CIA และไม่เคยออกสู่สายตาสาธารณะมาก่อน เผยให้เห็นว่าอ๊อกซ์คาร์ท สามารถถ่ายภาพวัตถุบนพื้นดินจากระดับความสูง 27,000 เมตร ขณะบินด้วยความเร็ว 3,500 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้
แม้มีความพยายามซ่อนเครื่องบินที่เป็นความลับ สายลับก็พบว่าสหภาพโซเวียตได้ภาพวาดของเครื่องบินไปแล้ว และได้พบวิธีตรวจจับอ๊อกซ์คาร์ท คนของแอเรีย 51 ก็จงใจสร้างของปลอมให้โซเวียตนั้นค้นพบในทันที


ค.ศ. 1958 คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู (AEC) ได้เข้ามาใช้พื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ร่วมกับกองทัพสหรัฐ เพื่อทำการทดลองโครงการลับๆ บางอย่าง พวกเขาเรียกสถานีทดลองนี้ว่า สถานีทดลองเนวาดา คณะกรรมาธิการฯ ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ แล้วกำหนดหมายเลขให้แต่ละส่วน บริเวณส่วนที่เป็นฐานทัพนั้นได้ หมายเลข 51
ค.ศ. 1970 กองทัพอากาศสหรัฐ ได้เข้ามายึดพื้นที่นี้อย่างถาวร เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดลองเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ ตลอดไปจนถึงการทดลองเครื่องบิน มิก 21 และอาวุธทันสมัยอื่นๆ ของรัสเซีย ที่ทางสหรัฐยึดมาได้
ค.ศ. 1975 พื้นที่ 51 ได้ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในเขตจำลองการรบทางอากาศ ภายใต้ชื่อรหัสว่า "ธงแดง" พื้นที่ 51 จึงถูกเรียกสั้นๆ ในชื่อใหม่ว่า "จตุรัสแดง" แต่ชื่อกึ่งเป็นทางการนั้นชื่อ "ดรีมแลนด์" และในช่วงทศวรรษ 1970 ก็ได้มีการทดลองโครงการด้านอวกาศ และการทดลองเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดคือ "แทคอิทบลู"
ค.ศ. 1980 ฐานทัพทะเลสาบกรูม ถูกขยายอาณาเขตออกไปอีก มีการสร้างสนามบินเพิ่มเติม อาคารเก็บเครื่องบินถูกสร้างบนลานบิน เพื่อให้ง่ายต่อการเก็บซ่อนจากสายตาของดาวเทียมจารกรรม ที่มีอยู่มากมาย อุปกรณ์สื่อสาร เรดาร์ และจานดาวเทียมได้รับการติดตั้ง
ตึกราม อาคาร โกดังหลายแห่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ บนทะเลสาบกรูม คาดว่ามันถูกใช้เป็นกองบัญชาการของศูนย์ทดลองเครื่องบินรบของกองทัพที่ถูกเรียกว่า ดีแทชเมนท์ 3 แม้ว่าจะมีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัย แต่ก็ยังไม่วายถูกแอบลักลอบถ่ายภาพ เนื่องจากพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบกรูมเป็นภูเขา


ค.ศ. 1984 กองทัพสหรัฐ จึงต้องขยายเขตหวงห้ามออกไปอีก โดยหวังว่าจะเป็นการกันไม่ให้มีใครสามารถมองเข้าไปยังในบริเวณฐานทัพได้ แต่ก็ยังมีจุดที่สามารถใช้เป็นที่สอดแนมได้อีก 2 แห่งห่างจากทะเลสาบกรูมไปทางตอนใต้ราว 12 ไมล์ คือที่บริเวณไวท์ไซด์พีค กับ ฟรีดอม ริดจ์
ค.ศ. 1995 เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอาศัยสถานที่ทั้งสองเป็นที่สอดแนมได้อีก กองทัพจึงได้ประกาศให้เขตดังกล่าวเป็นเขตหวงห้ามด้วย แต่เขตหวงห้ามนั้นได้แต่เพียงแค่ติดป้ายเตือนเท่านั้น ไม่มีการล้อมรั้วแต่อย่างใด เพราะพื้นที่เขตหวงห้ามนั้นกินอาณาเขตกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะล้อมรั้วได้
พื้นที่นี้ล้อมรอบไปด้วยเขตทดลองของรัฐเนวาด้า และเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศเนลลิส ที่ตั้งอยู่ในทะเลทรายเนวาด้า ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของลาสเวกัส ที่เรียกว่าพื้นที่ 51 ก็เพราะเป็นชื่อจุดที่ตั้งซึ่งปรากฎบนแผนที่ ของเขตทดลองเนวาดา ดังนั้น Area 51 จึงอาจแปลว่ารัฐที่ 51 ที่นี้เป็นสถานที่ที่ใช้ฝึก และพัฒนาสำหรับโครงการลับที่สุดทางทหาร


แต่ก็มีการจัดเวรยาม โดยใช้หน่วยรักษาความปลอดภัยนิรนาม ที่พกอาวุธสุดจะทันสมัย อีกทั้งยังมีการติดตั้งเครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหว ที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะมันสามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หน่วยลาดตระเวณนิรนามนี้เรียกว่า แคโม ดูดส์ ซึ่งจะมีหน่วยสนับสนุนทางอากาศที่ใช้เฮลิคอปเตอร์ Sikorsky HH-60G Pave Hawk คอยให้การสนับสนุนทางอากาศ
พื้นที่ 51 ถูกสร้างขึ้นจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2 นับตั้งแต่นั้นมาก็มีการใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม เช่น วิหคทมิฬ Blackbird (SR71) เครื่องบินขับไล่ล่องหน F117 Stealth Fighter, เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B2 Stealth Bomber อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่วิจัยโครงการลับออโรร่า (Aurora Project)


เครื่องบินรบเหล่านี้จะถูกทำการทดสอบสมรรถนะ ที่บริเวณทะเลสาบกรูม เมื่อพวกเขาทดสอบเครื่องบินรบ จนเป็นที่พอใจแล้วจึงค่อยประกาศต่อสาธารณชนให้ทราบว่า บัดนี้กองทัพได้สร้างเขี้ยวเล็บอันใหม่ขึ้นมา
โดยเฉพาะเครื่องบินสอดแนมและเทคโนโลยี ทางการบินที่แอบพัฒนากันอยู่ มีข่าวลือเกี่ยวกับแอเรีย 51 หนาหูขึ้น จนประชาชนสงสัยว่าจริงๆ แล้ว มีอะไรซ่อนอยู่ที่ฐานทัพแห่งนี้ มีประชาชนจำนวนหนึ่งได้เห็นวัตถุประหลาดลอยอยู่เหนือฐานทัพ ที่แห่งนี้มีการร่ำลือกันมานานแล้วว่าเป็น ที่ที่ใช้การศึกษาจานบิน ซ่อนจานบิน และมนุษย์ต่างดาวที่พวกเขาจับกุมกันมาได้ด้วย
เคยมีจานบินตกในรอสเวล และ รัฐบาลได้ปกปิดเรื่องนี้อย่างสุดฤทธิ์ แต่ดูเหมือนยิ่งปิดก็ยิ่งกระตุ่น ต่อมอยากรู้ของผู้คนทั่วไป โดยมีการอ้างถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของผู้ที่เกี่ยวข้องและ ไม่เกี่ยวข้อง รายที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นรายของ บ๊อบ ลาซาร์


ค.ศ. 1988 – 1989 บ๊อบ โรเบิรต ลาซาร์ เป็นชาวลาสเวกัส เขาเป็นนักฟิสิกส์ ทำงานที่ ลอส อะลามอส (ศูนย์ค้นคว้านิวเคลียร์ของอเมริกา) แต่ก็ได้ถูกโยกย้ายมายัง Area 51 เขาอ้างว่าเคยทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งอยู่ในเขตพื้นที่นี้ โดยทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษ แผนกอากาศยาน ในเขตพื้นที่นี้มีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยมาก และเขายังได้เห็นวัตถุสิ่งบินขนาดใหญ่สิ่งหนึ่ง
เขาได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษาวิศวกรรม ยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว มียานอวกาศรูปทรงกลมคล้ายจานจำนวน 9 ลำบินขึ้น-ลง ในเขตหวงห้ามบริเวณที่ชื่อ S4 หรือที่มีชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า บริเวณทะเลสาบปาปูส ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลสาบกรูม ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 10 ไมล์
เขตหวงห้ามบริเวณ S-4 ที่นั่นถูกก่อสร้างให้พรางตา กลมกลืนไปกับพื้นทะเลทรายโดยรอบ หากดูอย่างผิวเผินแล้วจะไม่มีทางสังเกตเห็นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีการทดลองเครื่องบินจารกรรม ที่มีความเร็วมากกว่าเสียง 5 เท่า โดยใช้พลังขับเคลื่อนชนิดใหม่ เช่น พัลส์ เดโทเนชั่น เวฟเอนจิน
และเครื่องบินความเร็วสูงที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจน การทดลองเครื่องบินที่มีความเร็วมากกว่าเสียงหลายเท่า หรือที่เรียกว่ายานไฮมัค โดยสร้างเครื่องบินที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างเครื่องบิน A12 และ D21 หรือที่เรียกกันว่า ซูเปอร์วอลคารี


เขตหวงห้ามบริเวณ S-4 เป็นสถานที่ใช้สำหรับศึกษา วิจัยวัตถุบินลึกลับภายใต้ชื่อโครงการ มูนดัสท์ บรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหลายถูกอำพรางอยู่ใต้พิ้นทราย เพื่อหลบเลี่ยงดาวเทียมจารกรรมของรัสเซีย วันแรกที่โรเบิร์ท เดินทางถึง S4 เขาถูกนำตัวไปที่ห้องพยาบาล เพื่อทำการตรวจผิวหนัง
เขาถูกทาด้วยสารหลายชนิดตามจุดต่างๆ บนแขน วันต่อมาก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจเช็คดูว่าผิวหนังเขาเกิดการพุพองหรือมีอาการแพ้หรือไม่ เขายังถูกสั่งให้ดื่มสารบางชนิดที่ทำให้ร่างกายของเขามีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น สารนี้ช่วยป้องกันเขาจากสิ่งแปลกปลอม ที่อาจได้รับจากการสัมผัสวัตถุที่มาจากต่างดาว
สารที่โรเบิร์ท ดื่มนั้นมีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นต้นสน และในคืนนั้นหลังจากที่เขาได้ดื่มสารสร้างภูมิคุ้มกันเข้าไป เขาก็เกิดอาการเป็นตะคริวที่ท้องน้อย ที่เป็นผลข้างเคียงมาจากสารสร้างภูมินั้น โรเบิร์ททำงานในห้องทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งชื่อ แบร์รี่ คาสติลลิโอ


นักวิจัยแต่ละกลุ่ม จะถูกแยกทำงานในส่วนต่างๆ พวกเขาถูกจำกัดให้มีเพื่อนร่วมงานเพียงแค่ไม่กี่คน แบร์รี่ เป็นเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียว ที่ช่วยโรเบิร์ท ศึกษาค้นคว้าเรื่องการขับเคลื่อนของยานอวกาศ ต่อมาโรเบิร์ทถูกแนะนำให้รู้จักกับ เรเน่ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่า เรเน่ เป็นใครและมีหน้าที่อะไรใน S4
เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานอยู่ในส่วนของ S4 นั้นมีอยู่แค่เพียง 22 คนเท่านั้น หัวหน้าของโรเบิร์ท ชื่อ เดนนิส มาริอานี เขารู้จักเดนนิส ตอนที่ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท อีจีแอนด์จี ซึ่งตอนนั้นยังมีสำนักงานอยู่ที่สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส แต่ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่ฐานทัพอากาศ เนลลิส
ในวันแรกๆ มีเจ้าหน้าที่พาโรเบิร์ทไปที่ห้องเล็กๆ ที่มีเพียงแค่โต๊ะ และเก้าอี้กับแฟ้มเอกสารกว่า 100 แฟ้ม ข้อความในแฟ้มล้วนเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กับมนุษย์ต่างดาวและเทคโนโลยีมนุษย์ต่างดาว เขาใช้เวลาวันละครึ่งชั่วโมง ในการศึกษาข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้น
ข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นบทสรุปให้กับเหล่านักวิทยาศาสตร์ ที่มาทำงานใน S4 ว่างานที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตต่างพิภพ โรเบิร์ท ได้เห็นการทดสอบบินของยานบินรูปทรงประหลาด และยิ่งตกใจมากขึ้นอีก เมื่อเห็นรายงานเขียนว่า มีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานกว่าหมื่นปีแล้ว!

โครงการที่โรเบิร์ท ทำอยู่นั้นเป็นส่วนย่อยของโครงการใหญ่ เขารับผิดชอบเรื่องการค้นคว้าการขับเคลื่อนของยานอวกาศต่างดาว และบทบาทของแรงโน้มถ่วง เพื่อใช้เป็นสื่อในการขับเคลื่อนภายใต้ชื่อ โครงการกาลิเลโอ การทดลองในโครงการกาลิเลโอ ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
บอกแต่แรกแล้วว่าเป็น "ปริศนาเชิงความบันเทิง" ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องแนวนี้มาก่อนก็อย่าคิดมาก แต่ให้คิดไปถึงอาวุธทันสมัยไฮเทคของกองทัพอเมริกาที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนมากก็ถูกทดลองจากที่นี่มาก่อน ร่วมทั้งระเบิดนิวเคลียร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทิ้งที่ ฮิโรชิมา และนางาซิกิ ที่ญี่ปุ่น จนมีคนตายไปกว่า 2 แสนคน ก็ทดลองที่นี่ด้วย

12 เหตุการณ์เครื่องบินหาย-ตก ที่ลึกลับและแปลกที่สุดในโลก

12 เหตุการณ์เครื่องบินหาย-ตก ที่ลึกลับและแปลกที่สุดในโลก


กลายเป็นข่าวใหญ่ที่เรียกความสนใจจากคนทั้งโลกกันอีกครั้ง กับการหายไปอย่างปริศนาของเครื่องบินสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบิน QZ 8501 ซึ่งสูญหายไปพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 162 ชีวิตในเช้าวันที่ 28 ธันวาคม 2557 ระหว่างเดินทางจากอินโดนีเซียไปยังสิงคโปร์ โดยสัญญาณการติดต่อกับหอบังคับการบินได้หายไปขณะที่เครื่องบินบินอยู่ระหว่างจังหวัดกาลิมันตันและเกาะเบลิตุง ขณะนี้ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าชะตากรรมของเครื่องบินลำนี้จะเป็นอย่างไร นับเป็นอีกหนึ่งปริศนาเครื่องบินหายที่โลกระทึกอีกครั้ง

            แต่อย่างไรก็ดี นอกจากกรณีการหายไปของเครื่องบินแอร์เอเชียนี้แล้ว ก็ยังมีสถานการณ์คล้าย ๆ กันที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้าหลายเหตุการณ์เลยทีเดียว มีทั้งที่สาเหตุการตกคลี่คลายได้แล้ว และที่ยังเป็นปริศนาต่อไป ไม่มีใครทราบแน่ชัดถึงสาเหตุของโศกนาฏกรรมแห่งความสูญเสีย ซึ่งเหตุการณ์เครื่องบินหาย​และเครื่องบิน​ตกครั้งใดจะลึกลับ​และแปลก​ที่สุดในโลกบ้าง วันนี้รวบรวมข้อมูลมาฝากกันแล้ว


1. การหายไปอย่างไร้ร่องรองของอะเมเลีย เอียร์ฮาร์ท ขณะบินสำรวจโลก

อะเมเลีย เอียร์ฮาร์ท ชาวอเมริกัน นักบินหญิงคนแรกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกได้สำเร็จ ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยขณะบินอยู่เหนือบริเวณเกาะฮาวแลนด์ ทางตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิก พร้อมกับ เฟร็ด นูแนน สหายนักสำรวจ ขณะนำเครื่องบินล็อกฮีด อิเล็กทรา บินสำรวจโลก เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1937

            ชะตากรรมของทั้งคู่เป็นอย่างไรยังคงเป็นปริศนา บ้างว่าเชื้อเพลิงเครื่องบินหมดกลางทาง และตกลงสู่มหาสมุทรเบื้องล่าง บ้างว่าเพราะเธอเป็นสายลับให้ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ จึงถูกจับไว้โดยชาวญี่ปุ่น บ้างก็ว่าเครื่องบินตกแถบชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น นักบินบาดเจ็บ และเสียชีวิตในที่สุด ร่างของทั้งคู่ถูกกินและย่อยไปโดยปูชายฝั่งที่มีมากมาย บ้างบอกว่าเธออาจยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในนิวเจอร์ซี แต่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลไปแล้ว และแม้กระทั่งที่เชื่อว่าทั้งคู่ถูกลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาวก็มีเช่นกัน ซึ่งประการหลังสุดนี้ ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างละครโทรทัศน์ตอนหนึ่งของ Star Trek : Voyager ในปี 1995 ด้วย

2. การหายสาบสูญของเกล็น มิลเลอร์ เหนือช่องแคบอังกฤษ

เกล็น มิลเลอร์ นักดนตรีแจ๊สชาวอเมริกัน ในฐานะหัวหน้าวงดนตรีแอร์ฟอร์ซแบนด์ ของกองทัพสหรัฐฯ ทำหน้าที่ผู้มอบเสียงเพลงและความรื่นรมย์ให้แก่กองกำลังของฝ่ายสัมพันธมิตร ในช่วงฤดูร้อนของปี 1944

            มิลเลอร์ใช้เวลาในค่ำคืนสุดท้ายของชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านมิลตัน เอิร์นเนส ในมณฑลเบดฟอร์ดเชียร์ ประเทศอังกฤษ โดยไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าเครื่องบินเครื่องยนต์เดี่ยวที่เขาโดยสารในวันรุ่งขึ้น จะพาเขาหายสาบสูญไปบริเวณเหนือช่องแคบอังกฤษ ในวันที่ 14 ธันวาคม 1944 ขณะกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปทำหน้าที่ต่อที่ประเทศฝรั่งเศส

            มีการคาดเดาสาเหตุของการหายสาบสูญของมิลเลอร์ไปต่าง ๆ นานา หลายกระแสเชื่อว่าเครื่องบินลำที่เขานั่งถูกลูกหลงจากฝ่ายเดียวกันเอง หลังจากที่เครื่องบินทิ้งระเบิด แลงคาสเตอร์ บอมเบอร์ เพิ่งได้รับคำสั่งยกเลิกการจู่โจมเมืองซีเก้น ของเยอรมัน และให้ทำลายระเบิดเพลิง 100,000 ลูก ที่เหนือช่องแคบอังกฤษก่อนบินกลับฐานทัพ ส่วนอีกกระแสหนึ่งที่อื้อฉาวมาก และไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยมากนัก ว่าไว้โดยอูโด้ อูล์ฟโคทเทอ นักหนังสือพิมพ์ชาวเยอรมัน บอกว่าที่จริงมิลเลอร์บินไปถึงฝรั่งเศส แต่หัวใจวายตายในซ่องที่ปารีเซียงนั่นเอง


3. ฝูงบิน 19 และการหายสาบสูญที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

ฝูงบิน 19 (Flight 19) คือชื่อเรียกฝูงบินทิ้งระเบิด ทีบีเอ็ม เอเวนเจอร์ 5 ลำ ของสหรัฐฯ ซึ่งหายไประหว่างการบินทดสอบ หลังบินออกจากฟอร์ท ลอเดอร์เดล ในฟลอริดา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1945 โดยการบินครั้งนี้นำโดยนักบินประสบการณ์สูง ชาร์ลส์ เทเลอร์

            หลังเริ่มทดสอบการบินไปได้หนึ่งชั่วโมงครึ่ง นักบินได้รายงานกลับมายังศูนย์ว่าเกิดเหตุสภาวะการแปรปรวน ไม่สามารถระบุตำแหน่งพื้นที่เบื้องล่างได้ เทเลอร์บอกเจ้าหน้าที่ผ่านการสื่อสารทางวิทยุว่า เข็มทิศทั้งสองของเครื่องไม่สามารถทำงานได้ปกติ แม้ว่าทางศูนย์ทางภาคพื้นจะมีความพยายามในการช่วยระบุตำแหน่ง แต่ก็ไร้ผลเมื่อฝูงบินทั้ง 5 ก็ไม่สามารถจับทิศทางได้ ในที่สุดเครื่องบินทั้ง 5 ลำ พร้อมนักบิน 14 ชีวิต ก็ล้มเหลวในการลงสู่พื้นดิน และพุ่งดิ่งสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ไม่มีใครได้พบแม้แต่เศษซากอีกเลย

            ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้น เครื่องบินค้นหาพีบีเอ็ม ของกองทัพเรือ พร้อมนักบินอีก 13 นาย ที่รับหน้าที่ค้นหาร่องรอยของฝูงบิน 19 ที่สูญหาย ก็กลับหายสาบสูญไปด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดว่าคงมีจุดจบไม่ต่างไปกับฝูงบิน 19 นั่นเอง


4. การหายไปของเครื่องบินสตาร์ดัสต์ และรหัสมอร์สปริศนา

มีความพยายามแกะความหมายของรหัสมอร์สดังกล่าวมาตลอดหลายสิบปีหลังเกิดเหตุการณ์ มีการคาดเดาถึงหลายสาเหตุที่ทำให้สตาร์ดัสต์บินไปพบจุดจบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ฟังดูเหลว​ไ​หลอย่างการโจมตีจากมนุษย์ต่างดาว ไปจนถึงการก่อวินาศกรรมทางอากาศ การตั้งใจระเบิดเครื่องกลางอากาศเพื่อทำลายเอกสารทางการทูตที่ผู้โดยสารรายหนึ่งนำขึ้นเครื่องมา และการคาดการณ์ที่ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่างเครื่องบินอาจบินเข้าสู่ช่วงเทือกเขาที่มีการเลื่อนไถลในแนวดิ่งของหิมะ ทำให้เครื่องบินตก และซากถูกหิมะฝังไว้มิด
อย่างไรก็ดี ทฤษฎีสุดท้ายนี้ฟังดูสมจริงมากที่สุด เมื่ออีก 50 ปีภายหลังเกิดเหตุการณ์ มีสองนักปีนเขาชาวอาร์เจนตินาได้พบชิ้นส่วนเครื่องยนต์พร้อมกับเศษซากของเสื้อผ้า ระหว่างการปีนยอดเขาทูปันกาโต ของเทือกเขาแอนดีส


5. เครื่องบินสตาร์ไทเกอร์ กับการหายไปที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

เป็นอีกครั้งที่เกิดความสูญเสียกับเครื่องบินของสายการบินบริติช เซาธ์ อเมริกัน แอร์เวย์ส (BSAA) ในคราวนี้คือเครื่องบินสตาร์ไทเกอร์ พร้อมผู้โดยสาร 25 ชีวิต โดยหนึ่งในนั้นคือฮีโร่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งของสหราชอาณาจักร พลอากาศโทเซอร์อาเธอร์ โคนิงแฮม ที่บินออกจากเกาะซานตามาเรีย ประเทศโปรตุเกส มุ่งสู่หมู่เกาะเบอร์มิวดา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 1948 ท่ามกลางสภาพอากาศค่อนข้างเลวร้ายเนื่องจากลมพัดแรงจัด

            สตาร์ไทเกอร์ออกบินพร้อมเชื้อเพลิงเหลือเฟือ บังคับเครื่องให้บินต่ำเพื่อเลี่ยงการต้านกระแสลม โดยบินตามเครื่องบินขนส่งแลงคาสเทรนออกมาไม่ทิ้งห่างกันนัก จากระยะทางที่น่าจะกินเวลาบินราว 12 ชั่วโมง เครื่องบินแลงคาสเทรนมาถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แต่ปรากฏว่าสตาร์ไทเกอร์นั้นไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย

            เป็นที่คาดการ​ณ์​ว่าการบินที่ระดับต่ำ ประกอบกับกระแสลมแรงจัด พัดให้สตาร์ไทเกอร์ร่วงสู่พื้นมหาสมุทรเบื้องล่าง หรืออาจเป็นการทำงานที่ขัดข้องของมาตรวัดระดับความสูง บวกกับความเหนื่อยล้าของนักบินจากชั่วโมงบินที่ยาวนาน ทำให้เกิดความผิดพลาดบังคับเครื่องสตาร์ไทเกอร์พุ่งลงสู่ผืนน้ำก็เป็นได้ อย่างไรก็ดีทั้งเครื่องบิน และผู้โดยสารในเที่ยวบินทั้งหมด ยังคงหายสาบสูญจนถึงปัจจุบัน

ซากเครื่องบินเที่ยวบิน 191 ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์
6. ปริศนาหายนะเที่ยวบิน 191

หากลองสังเกตดูจะพบว่าสายการบินหลาย ๆ แห่ง จะไม่ตั้งชื่อเที่ยวบินของตนว่า เที่ยวบิน 191 (Flight 191) ซึ่งปกติจะเป็นเที่ยวบินที่บินจากสนามบินนานาชาติโอแฮร์ ในชิคาโก ไปยังสนามบินนานาชาติลอสแอนเจลิส กันเท่าใดนัก สืบเนื่องมากจากหายนะหลาย ๆ ครั้งที่เคยเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมานี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับหมายเลขของเที่ยวบินดังกล่าว

หนึ่งในหายนะเที่ยวบิน 191 ที่ทำให้เกิดความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์การบินอเมริกา คือเที่ยวบิน 191 ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 1979 ที่เครื่องบินตกหลังออกจากสนามบินโอแฮร์ได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น คร่าชีวิตผู้โดยสาร 258 ชีวิต และลูกเรืออีก 13 ชีวิต

นอกจากนี้ก็ยังมี เครื่องบินเจท X-15 เที่ยวบิน 191 ซึ่งขึ้นบินเป็นการบินทดสอบเครื่อง โดยนักบินไมเคิล เจ. อดัมส์ ออกตัวที่ทะเลสาบร้างเดลามาร์ ในรัฐเนวาดา สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1967 แต่เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคหลังนำเครื่องขึ้นเพียงไม่กี่นาที ลงเอยด้วยการโหม่งโลก คร่าชีวิตนักบินในซากเครื่องบินไหม้พังยับเยิน และเหตุการณ์หวิดนำหลายชีวิตดิ่งสูญดับของเที่ยวบิน 191 สายการบินเจ็ตบลู แอร์เวย์ส ในปี 2012 ที่กัปตันผู้บังคับเครื่องเกิดอาการแพนิคกะทันหัน โชคดีที่ผู้โดยสารเข้าช่วยเขาระงับอาการได้ทันท่วงที จึงไม่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น

ด้วยเหตุการณ์ที่น่าพิศวงเหล่านี้นี่เอง หลายสายการบินถึงพร้อมใจกันถอนการเรียกชื่อเที่ยวบิน 191 ไปโดยปริยาย


7. การหายที่เป็นปริศนาของเครื่องบินสตาร์แอเรียล

สตาร์แอเรียล นับเป็นเครื่องบินอีกลำของสายการบินบริติช เซาธ์ อเมริกัน แอร์เวย์ส (BSAA) ที่ต้องเผชิญชะตากรรมไม่คาดคิด จากไฟลท์ที่บินจากหมู่เกาะเบอร์มิวดามุ่งหน้าไปยังประเทศจาเมกา ในวันที่ 17 มกราคม 1949

สตาร์แอเรียล ออกบินอย่างราบรื่นสู่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ไม่มีสัญญาณของหายนะใด ๆ ปรากฏมาก่อน กระทั่งเกิดเหตุขัดข้องด้านสัญญาณการติดต่อกับนักบิน และแล้วสตาร์แอเรียลก็ไม่อาจพาผู้โดยสาร 20 ชีวิตพร้อมนักบินอีกหนึ่งนาย ไปถึงจุดหมายปลายทางได้​ นอกจากนี้ยังน่าแปลกใจที่ความพยายามในการค้นหาเครื่องบินลำนี้ดำเนินไปเพียงไม่นาน ก็ยุติลงในวันที่ 25 มกราคม

การสรุปสาเหตุการหายไปของสตาร์แอเรียลยังคงไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ดอน เบนเนตต์ อดีตผู้อำนวยการของ BSAA ออกมาระบุว่า เหตุความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งกับสตาร์ไทเกอร์ และสตาร์แอเรียล คือการจงใจก่อวินาศกรรมทางอากาศ ทั้งยังพาดพิงถึงนายคลีเมนต์ แอทท์ลี นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในตอนนั้น ว่าเป็นผู้ออกคำสั่งอย่างลับ ๆ ให้ยุติการค้นหา และการสืบสวนเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมของเครื่องบินทั้งสองลำตัว


8. หายนะเที่ยวบิน 571 ที่เทือกเขาแอนดีส

ครื่องบินเช่าเหมาลำอุรุกวัยแอร์ฟอร์ซ นำผู้โดยสาร 45 ชีวิตรวมนักบิน และทีมรักบี้ของอุรุกวัย บินจากเมืองหลวงของอุรุกวัย มุ่งหน้าไปยังกรุงซานติอาโก ของชิลี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1972 แต่ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ต้องหยุดพักที่สนามบินนานาชาติเมนโดซ่า ในอาร์เจนตินา ก่อนออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดมา โดยไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเป็นการเดินทางที่พาพวกเขาไปสู่หายนะที่คร่าชีวิตเพื่อนร่วมทางไปหลายสิบคน ส่วนผู้รอดชีวิตก็ต้องกินเนื้อจากร่างมนุษย์ด้วยกันเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง

เครื่องบินลำดังกล่าวเกิดเหตุขัดข้อง ประกอบกับสภาพอากาศเลวร้าย จึงตกลงบนเทือกเขาแอนดีส ผู้โดยสาร 12 ราย เสียชีวิตทันทีจากเหตุเครื่องบินตก อีก 6 ราย เสียชีวิตในอีกไม่กี่วันถัดมา และยังมีอีก 8 ชีวิต ที่จบลงจากเหตุหิมะที่ถล่มลงมายังซากเครื่องบินซึ่งพวกเขาปักหลักยึดเป็นที่พักพิง

อีก 16 คน ที่เหลืออยู่รอดได้ด้วยการกินเนื้อจากร่างผู้โดยสารที่เสียชีวิตไปแล้วเพื่อประทังชีวิตตัวเอง กว่าทั้งหมดจะถูกค้นพบและได้รับความช่วยเหลือก็เป็นเวลาอีก 72 วันถัดมา เมื่อ 2 คนในกลุ่มที่รอดชีวิต ตัดสินใจออกเดินเท้าข้ามเขตเขา ใช้เวลาถึง 10 วัน จนกระทั่งได้พบกับเซลล์แมนนักเดินทางชาวชีลีที่ได้แบ่งปันน้ำและอาหารให้ พร้อมทั้งแจ้งขอความช่วยเหลือกู้ภัยเร่งด่วนไปยังทางการ

เรื่องราวหายนะของเที่ยวบิน 571 และการต่อสู้ของผู้รอดชีวิตทั้ง 16 คน กลายเป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่อง Alive (1993)



9. ชะตากรรมที่น่าเศร้าของเที่ยวบิน 990 สายการบินอียิปต์แอร์

หายนะดับยกลำของเครื่องบินโบอิ้ง 767 สายการบินอียิปต์แอร์ เที่ยวบินที่ 990 ซึ่งบินออกจากสนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ เคนเนดี้ ​สหรัฐฯ ​มุ่งหน้าสู่กรุงไคโรของอียิปต์ ​เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1999 ​เครื่องบินลำนี้ได้​พาผู้โดยสารรวมลูกเรือ นักบิน และกัปตัน ทั้งสิ้น 217 ชีวิต ไปสู่จุดจบทั้งหมด เมื่อเครื่องบินตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตอนใต้ของรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐฯ

            มีรายงานว่า ผู้ก่อเหตุคือนายกามิล เอล-บาตอตตี้ ผู้ช่วยนักบิน ที่เพิ่งจะถูกนายฮาเทม รัชดี้ หนึ่งในผู้บริหารของอียิปต์แอร์ ที่ร่วมโดยสารในเที่ยวบินนั้นด้วย ตำหนิอย่างรุนแรงเรื่องประพฤติ​ตัว​ไม่เหมาะสมทางเพศ โดยหนึ่งในคำต่อว่าคือ "นี่จะเป็นไฟลท์สุดท้ายของนาย" ก่อนที่นายกามิลจะโต้ตอบด้วยคำพูดเดียวกันว่า "มันจะเป็นไฟลท์สุดท้ายของคุณเหมือนกัน"

            ในภายหลังพบว่าเครื่องบันทึกเสียงภายในห้องนักบินที่สามารถบันทึกเสียงของนายกามิลพึมพำว่า "ฉันเชื่อในพระเจ้า" ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กัปตันได้ขอตัวมาเข้าห้องน้ำ ก่อนที่ระบบออโต้ไพลอ​ต​จะถูกปิด และเครื่องบินก็ดิ่งหัวลงสู่เบื้องล่าง เสียงพึมพำนั้นยังคงดังต่อเนื่องในระหว่างที่เครื่องบินลดระดับลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งลุกไหม้และตกลงสู่มหาสมุทร

            หน่วยงานสอบสวนอากาศของสหรัฐฯ (The US National Transportation Safety Board) มีความเห็นว่าเหตุเครื่องบินตกในครั้งนี้เป็นผลจากการกระทำของนายกามิล แต่ไม่ได้ระบุถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุของผู้ช่วยนักบินรายนี้แต่อย่างใด



10. หายนะสะเทือนใจ เที่ยวบิน 447 สายการบินแอร์ฟรานซ์

เครื่องบินแอร์บัสรุ่น A330 ของสายการบินแอร์ฟรานซ์ เที่ยวบิน 477 มุ่งหน้าออกจากกรุงริโอ เดอ จานีโร ประเทศบราซิล สู่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2009 แต่ก็ไม่อาจพาผู้โดยสาร 214 ชีวิต และลูกเรืออีก 12 รายไปถึงจุดหมายได้

            จากการสืบสวนระบุว่า เกิดผลึกน้ำแข็งก่อตัวในท่อของเครื่องบิน ขัดขวางการทำงานของระบบออโต้ไพลอต จนกระทั่งระบบไม่สามารถทำงานได้ ทำให้เครื่องบินทิ้งดิ่งตัวลงปะทะกับพื้นน้ำของมหาสมุทรแอตแลนติก ไม่พบผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างใด

            ร่างผู้เสียชีวิต 50 ร่าง ถูกพบลอยอืดเหนือน้ำเป็นที่น่าสะเทือนใจในช่วงเดือนถัดมา กล่องดำถูกค้นพบในเดือนพฤษภาคม ในปี 2011 พร้อมกับพบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 104 ศพ ส่วนอีก 74 ร่างยังคงหาไม่เจอจนกระทั่งปัจจุบันนี้


11. MH370 มาเลเซีย แอร์ไลน์ส หายสาบสูญ

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 จู่ ๆ สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ก็กลายเป็นสายการบินที่ได้รับการพูดถึงในทุกหน้าสื่อ มาแรงแซงทุกข่าว เมื่อเที่ยวบิน MH370 ซึ่งเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่งของจีน พร้อมด้วยลูกเรือและผู้โดยสาร 239 ชีวิต ได้ขาดการติดต่อและหายไปจากจอเรดาร์หลังจากทะยานขึ้นฟ้าได้ไม่กี่ชั่วโมง ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของเที่ยวบิน MH370 อีกเลยหลังจากนั้น

            ทันทีที่เครื่องบินหายไป ทั่วโลกต่างตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกจะตั้งทีมสืบสวนโดยเฉพาะ เพื่อตามหาเครื่องบินที่หายไป โดยได้ตั้งข้อสันนิษฐานและประเมินความเป็นไปได้ออกมาว่า MH370 น่าจะตกลงในมหาสมุทรอินเดีย จากนั้นจึงมีการออกค้นหาเครื่องบินในมหาสมุทรอินเดียอย่างต่อเนื่อง แต่ทีมค้นหาก็ยังไม่อาจพบร่องรอยใด ๆ ของเที่ยวบินนี้เลย กลายเป็นปริศนาคาใจคนทั่วโลกจนถึงวันนี้

            อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่ทีมปฏิบัติการกำลังค้นหาร่องรอยของเที่ยวบินนี้ในมหาสมุทรอินเดีย ก็มีผู้เชี่ยวชาญจากวงการการบินหลายคนก็ออกมาให้ข่าวเป็นระยะ ๆ บ้างก็ว่าเครื่องบินไม่ได้ตกแต่ถูกจี้ บ้างก็ว่าสหรัฐอเมริกาอยู่เบื้องหลังการสูญหายนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ทุกอย่างก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น การหายไปของ MH370 ยังคงเป็นปริศนาต่อไป



12. โศกนาฏกรรม MH17 มาเลเซีย แอร์ไลน์ส ถูกยิงตก

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2557 เที่ยวบิน MH17 สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ที่เดินทางจากกรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ มายังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ก็ถูกขีปนาวุธยิงตกเหนือน่านฟ้าประเทศยูเครน บริเวณที่มีความขัดแย้งเรื่องการแบ่งแยกดินแดนอยู่ ส่งผลให้ลูกเรือและผู้โดยสารเสียชีวิตยกลำ 298 ศพ ส่วนใหญ่เป็นชาวดัตช์

            ปัจจุบันคดีนี้ยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวน เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุยิงเครื่องบินตกนี้ยังคงเป็นปริศนา จับมือใครดมไม่ได้ ไม่รู้ว่าขีปนาวุธที่ยิง MH17 ตกนั้น เป็นฝีมือของทางฝั่งยูเครน รัสเซีย หรือฝ่ายใด แต่โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมเครื่องบินครั้งใหญ่ที่สุดในโลก


เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในอุบัติเหตุที่นำมาซึ่งการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ก็คืออุบัติเหตุทางอากาศ ซึ่งเป็นความเสียหายที่สูงทั้งในแง่มูลค่า และยิ่งประเมินค่าไม่ได้ในด้านชีวิตของผู้โดยสารและลูกเรือ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ได้แต่ขอไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก และกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ก็ขอเป็นกำลังใจเจ้าหน้าที่ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการตามหาร่องรอยของเที่ยวบินดังกล่าว และเหนือสิ่งอื่นใดขอร่วมภาวนาและเอาใจไปอยู่เคียงข้างผู้ที่ยังคงรอคอยบุคคลอันเป็นที่รักด้วยนะครับ

ที่มา hilight.kapook.com



วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของ กัญชา (marijuana good or bad)


ประโยชน์ของ กัญชา ที่หลายคนยังไม่รุ้ รักษาต้อหินไปยันมะเร็ง

แน่นอนว่าถ้าเราพูดถึงกัญชาขึ้นมาแล้ว หลายๆคนคงจะเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี มันเป็นสิ่งผิด มันไม่ถูกกฏหมายนะ …ซึ่งก็ถูกครับ ตามที่ผมได้เขียนมาตามข้างหน้านั้นเลย ไม่ดี เป็นสิ่งที่ผิดกฏหมายจริงๆ แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าในความไม่ดีของมันนั่นแหละมันมีประโยชน์ต่อตัวเรามากๆ มากในแบบที่เราคาดไม่ถึงเลยก็ว่าได้เลยแหละ ซึ่งข้อดีของมันนั้นมากมายไม่ว่าจะเป็น รักษาต้อหิน ช่วยให้อนหลับสบาย รักษาอัลไซเมอร์ ตลอดไปถึงมะเร็งเลยด้วยเราก็เลยขอนำเสนอ ประโยชน์ของกัญชา ที่หลายๆ คนยังไม่รุ้ ให้เพื่อนๆ ได้รับรู้กันครับ แต่… ไม่ได้ผมจะเขิญชวนเพื่อนๆ ไปใช้กันชานะเออ จุดนี้ผมนำเสนอในทางการแพทย์ เผื่อว่าจะมีทีมงานทางแพทย์คนไหนเอาไปวิจัยต่อแล้วสกัดออกมาเป็นยาดี ที่ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยได้อย่างไม่มีผลข้างเคียงครับ

ใช้รักษาโรคต้อหินได้
กัญชา สามารถใช้ในการรักษาและป้องกันโรคต้อหินได้ ซึ่งกลไกของมันจะเข้าไปเพิ่มควมดันในลูกตา ลดการที่เกิดความเสียหายในประสาทตาซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียการมองเห็น

ช่วยเพิ่มความจุปอดได้โดยไม่ทำลายเซลล์ปอด
อ้างอิงจากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมการแพทย์อเมริกันในเดือนมกราคม 2012 กัญชาช่วยเพิ่มความจุปอดได้โดยไม่ทำลายเซลล์ปอดและยังช่วยให้ผลของสารก่อให้เกิดมะเร็งในยาสูบทำงานย้อนกลับ

กัญชาสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการชักเป็นโรคลมชัก
จากผลศึกษาในปี 2003 ได้ระบุเอาไว้ว่าการใช้กัญชาสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการชักเป็นโรคลมชักได้จริง เพราะสาร tetrahydrocannabinol ในกัญชา หรือที่เรียกกันว่า THC สามารถควบคุมสมองโดยการทำให้เซลล์สมองที่ควบคุมการเกิดลมชักสร้างอารมณ์ผ่อนคลาย



สารเคมีที่พบในกัญชาสามารถการแพร่กระจายของโรคมะเร็งได้
สาร CBD ในกัญชาสามารถสกัดมาเพื่อช่วงป้องกันการแพร่กระจายของมะเร็งได้จริง หลังจากทีมงานศูนย์การแพทย์วิจัยที่แคลิฟอร์เนียแปซิฟิกได้ออกมาเปิดเผย การวิจัยในปี 2007 ซึ่งสาร Cannabidiol (CBD) จะเข้าไปหยุดการกระจายของมะเร็งโดยหยุดยั้งยีนส์ที่ชือว่า Id-1 ลง

กัญชามีส่วนช่วยในการลดความวิตกกังวล
โดยผู้ใช้กัญชาในทางการแพทย์อ้างว่ากัญชามีส่วนช่วยในการลดควมเจ็บปวดและลดความคลื่นไส้ ซึ่งไปตรงกับผลการศึกษาของนักศึกษาแพทย์ของมหาวิทยลัยฮาวาร์ด (Harvard Medical School) ในปี 2010 ว่า กัญชาจะช่วยปรับอารมณ์ผู้ใช้ และลดความเครียด เหมือนเป็นยากล่อมประสาทในปริมาณต่ำนั่นเอง

กัญชาสามารถรักษาการลุกลามของโรคอัลไซเมอร์ได้
การศึกษาค้นพบว่าสาร THC ในกัญชา มีส่วนในการลดการลุกลามของอัลไซเมอร์ได้ โดยมันจะเข้าไปชะลอการทำงานของการเกิดโรคนี้่ด้วยการหยุดยั้งเอนไซม์ในสมองที่ก่อให้เกิดอาการความจำเสื่อมนั่นเอง

กัญชาสามารถลดอาการเจ็บปวดของร่างกายได้
จากการศึกษาของ Canadian Medical Association ได้ค้นพบว่า กัญชาอาจบรรเทาอาการเจ็บปวดของหลายเส้นโลหิตตีบได้ โดยสาร TCH ในกัญชาจะเข้าไปทำงานควบคุมเส้นประสาทเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและนอกจากนี้มันยังจะช่วยลดการกระตุกของกล้ามเนื้ออีกด้วย

กัญชาสามารถทำให้ผู้ใช้นอนหลับได้ง่าย
นอกจากจะทำหน้าที่ให้เรารู้สึกบรรเทาอาการปวดแล้วมันยังวามารถช่วยให้เรานอนหลับได้อย่างเต็มที่ดีกด้วย จากผลการวิจัยใจปี 2011 ได้กล่าวอาไว้ซึ่งการทดลองดังกล่าวก็เป็นผลมากกับคนป่วย โดยผลออกมาว่าหลังจากที่ทางโรงพยาบาลให้ยา Sativex (ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของสาร cannabinoid) กับผู้ป่วย 2 อาทิตย์นอกจากผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดจากเผลที่ดีขึ้นแล้ว พวกเขายังนอนหลับได้อย่างเต็มที่อีกด้วย

กัญชาทำให้คุณผอมลงและมีการเผาผลาญที่ดีขึ้น
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารอเมริกันในปี 2013 ได้ชี้ให้เห็นว่าผุ้ที่ใช้กัญชาจะมีความผอมมากกว่าคนทั่วไปอีกทั้งยังมีระบบการเผาผลาญที่ดีและแข็งแรงกว่าคนทั่วไปซะอีก



กัญชาปกป้องสมองได้
วิจัยจากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม (University of Nottingham) แสดงให้เห็นว่ากัญชาอาจช่วยปกป้องสมองจากความเสียหายที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองโดยการลดขนาดของพื้นที่รับผลกระทบจากโรคหลอดเลือดสมอง

แต่ถึงแม้ความสามารถของมันจะสามารถพัฒนาในทางการแพทย์ได้ แต่สำหรับไทยเราแล้ว กัญชา ถือเป็นสิ่งผิดกฏหมายนะครับ

โทษทางกฎหมาย จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
สรุปข้อหาและบทลงโทษ ดังนี้

ผลิต/นำเข้าหรือส่งออกจำหน่าย หรือครอบครองเพื่อจำหน่าย มีโทษ จำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 15 ปีและปรับตั้งแต่2 หมื่นบาท ถึง 1 แสน 5 หมื่นบาท
ครอบครอง มีโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หากเป็นพืชกระท่อม ต้องจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 1หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (กรณีมียาเสพติดให้โทษ ในประเภทที่ 5 ตั้งแต่ 10 กิโลกรัมขึ้นไป ถือว่าเป็นการครอบครองเพื่อจำหน่าย)
เสพ มีโทษ จำคุกตั้งแต่ 1 ปีและปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหากเป็นพืชกระท่อมต้องจำคุกไม่เกิน 1เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 พันบาท


การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา(Rwanda)


การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา :
โศกนาถกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้นในเมืองไทย

เมื่อหลายสิบปีก่อน มีข่าวใหญ่สะท้านโลกข่าวหนึ่งคือ
ข่าวเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศรวันดา
ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ในแอฟริกา
ข่าวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ค่อนข้างสะเทือนขวัญชาวโลก
ที่แม้แต่เพื่อนบ้านกันเองที่มีความคุ้นเคยสนิทสนมกันมานาน
ก็ยังจับอาวุธขึ้นมาฆ่ากันเองกระจายไปทั่วประเทศ
แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นคนไทยส่วนใหญ่อาจลืมเลือนไป
เพราะหลังจากนั้นไม่นาน
ประเทศไทยก็เจอกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ
เล่นงานเสียงอมแงม แล้วเรื่องรวันดาก็จางหายไป



เรื่องรวันดามาสะกิดใจชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อมีภาพยนต์ดังเรื่อง Hotel Rwanda ออกฉาย
ซึ่งภาพยนต์เรื่องนี้ได้สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประเทศรวันดา
ที่ผู้จัดการโรงแรมชาวฮูตูได้ช่วยชีวิตชาวตุ๊ดชี่ไว้หลายพันคน
จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนชาติเดียวกันเอง

Rwanda คือชื่อของประเทศหนึ่งที่ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกา
ล้อมรอบไปด้วยประเทศ ยูกันดา บุรุนดี คองโก และแทนซาเนีย ปัจจุบันประเทศ Rwanda มีเมืองหลวงชื่อว่า กรุง Kigali


เดิมทีดินแดนนี้เคยเรียกว่า Ruada-Urundi
เคยรวมอยู่กับ Burundi
แล้วตกเป็นอาณานิคมของเยอรมัน พศ. 2433
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเยอรมันแพ้สงคราม
ทำให้รวันดา ตกอยู่ภายใต้การดูแลขององค์การสหประชาชาติ
โดยมีเบลเยี่ยมเป็นผู้ดูแลแทนองค์การสหประชาชาติ
โดยในขณะนั้นรวันดามีการปกครองแบบมบูรณาญาสิทธิราชย์
ประชาชนของรวันดา ประกอบด้วยคนสองเผ่าคือ

เผ่าตุ๊ดชี่ (Tutsi) ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ
มีประมาณร้อยละ 15 แต่เป็นกลุ่มที่
มีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี
มีการศึกษาดีและส่วนใหญ่เป็นพวกนักรบ

อีกเผ่าหนึ่งซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศคือ
เผ่าฮูตู (Hutu) ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจน
มีอาชีพทางด้านกสิกรรมเป็นส่วนใหญ่


เมื่อปี พศ.2502 ได้เกิดสงครามระหว่างประชากรทั้งสองเผ่าขึ้น
ซึ่งผลของสงครามทำให้ชนเผ่าตุ๊ดชี่ หมดอำนาจลง
และ 2 ปีต่อมา เบลเยี่ยมได้จัดให้มีการลงประชามติ
เกี่ยวกับเอกราชของรวันดา
และผลของประชามติ คือ ชาวรวันดา
ต้องการที่จะปกครองตนเอง
เบลเยี่ยมจึงให้เอกราชแก่รวันดา
ในวันที่ 1กรกฎาคม 2505 (1962)
รวันดาจึงได้กลายเป็นสาธารณรัฐ
มีการร่างรัฐธรรมนูญและจัดให้มีการเลือกตั้ง


ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคของชาวเผ่า ฮูตู (Hutu)
ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล
มีนาย Gregoire Kayibanda
เป็นประธานาธิบดีคนแรกของรวันดา

แต่อย่างไรก็ตาม ในปี พศ.2506 – 2507
ก็ได้เกิดสงครามระหว่างชนทั้งสองเผ่าอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งผลของสงครามทำให้เผ่าตุ๊ดชี่ถูกฆ่าตายไปหลายพันคน
และอีกหลายหมื่นคนต้องหนีไปอยู่ยูกันดาและบุรุนดี



ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2516
พลเอกJuvenal Habyarimana
ทำรัฐประหาร ขับไล่ประธานาธิบดี Kayibanda
ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรก
ออกจากตำแหน่ง

ซึ่งการรัฐประหารในครั้งนั้นทำ
ให้พรรคของชนเผ่าฮูตูหมดอำนาจลง
โดยพรรคของเผ่าตุ๊ดชี่ ซึ่งควบคุมโดยกองทัพ
เข้ามามีอำนาจแทนประธานาธิบดี
พลเอก Juvenal Habyarimana
มีนโยบายขจัดลัทธิเผ่านิยม
เพื่อสร้างความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นให้แก่ประเทศ
ตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2521
ทำให้พรรค MRND ซึ่งควบคุมโดยกองทัพ
เป็นพรรคการเมืองที่ถูกกฎหมายเพียงพรรคเดียว
นโยบายสำคัญของพรรค MRND คือ
ขจัดความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์
และสร้างเอกภาพให้แก่ชาติ
โดยอำนาจตุลาการใช้ผ่านทางศาลและ
คณะรัฐมนตรี (Council of State)
     
2 เดือนของการฆ่าล้างเผ่าพันธ์

ภายหลังการอสัญกรรมของประธานาธิบดี
พลเอก Juvenal Habyarimana
ซึ่งเป็นชนเผ่าฮูตู โดยมี่สาเหตุมาจากเครื่องบินตก
ในวันที่ 6 เมษายน 2537 ซึ่งได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญ
และการเริ่มต้นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
โดยพวกฮูตูได้โฆษณาชวนเชื่อว่า
ประธานาธิบดีของชนเผ่าฮูตูตายนั้น
เกิดจากฝีมือของชนเผ่าตุ๊ดชี่

และในวันที่ 8 เมษายน 2537
Dr.Theodore Sindikubwabo ชนเผ่าฮูตู
ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแทนการ



ปลุกระดมและการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ
เพื่อยุยงให้มีการฆ่าชนเผ่าตุ๊ดซี่
ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นตนมา

ซึ่งพวกอาสาสมัครที่ ของเผ่าฮูตู
ที่มีการจัดตั้งขึ้นมาอย่างลับๆ ทั่วประเทศ
มีมีดขนาดใหญ่เป็นอาวุธ
ก็ได้รวมกลุ่มกันสังหารหมู่ชาวตุ๊ดชี่
เป็นจำนวนมาก แม้ในขณะนั้น
จะมีทหารขององค์การสหประชาชาติ
ประจำอยู่ในประเทศรวันดาก็ตาม
แต่ทหารเหล่านั้นก็ไม่สามารถป้องกัน
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขนานใหญ่นี้ได้เลย
ผลของการฆ่าที่ดำเนินไปเป็นเวลากว่า 2 เดือน
ทำให้ชาวตุ๊ดชี่สังเวยชีวิตถึง 800,000 คน
รวมทั้งชาวฮูตู มากกว่า50,000 คน



เรื่องเล่าที่เป็นโศกนาฎกรรมคือ
บางครอบครัวหัวหน้าครอบครัวต้องลงมือสังหารบุตร
และภรรยาของตนเอง เพียงเพื่อให้ลูกๆ
และภรรยาไม่ต้องตายอย่างทรมาณ
เพราะหากปล่อยให้พวกอาสาสมัครฮูตูฆ่าเอง
พวกนั้นจะตัดมือตัดแขน และปล่อยให้ตายเองอย่างทรมาน
หลายครอบครัวจึงขอลงมือสังหารเอง เนื่องจากไม่มีทางรอดแล้ว
 
 เมื่อเราเทียบเหตุการณ์ในครั้งนั้น
กับเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว
โดยฮิตเลอร์ สมัยสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใน รวันดา
กลับมีจำนวนคนตายมากกว่าถึง 3 เท่า
ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วเพียงสองเดือนเท่านั้น...!!

และเหตุใดทำไม ชนเผ่าฮูตู ถึงได้ ฆ่าชนเผ่าตุ๊ดชี่
ได้อย่างรวดเร็วและมากมายได้ขนาดนั้น
ทั้งที่ช่วงนั้นประเทศ รวันดา
ก็อยู่ภายใต้การดูแลการเลือกตั้งของทหารสหประชาชาติ
(ฝรั่งเศส เป็นผู้นำในการดูแลประเทศรวันดาในขณะนั้น)
ในขณะที่โลกเราขณะนั้นก็มีการสื่อสารที่ไร้พรมแดน...
ในขณะที่อเมริกา มีประธานาธิบดีที่ชื่อ Bill Clinton ......?.....



ที่มา เว็บไซต์ ThaiFreeNews 








แนวร่วมนักรบไอเอส (isis) ชาติตะวันตก


นักรบชาติตะวันตก ทยอยเปิดตัวผ่านไอเอส

สกู๊ปพิเศษ ต่างประเทศ

การเปิดเผยตัวตนมือสังหารและนักรบสมาชิก "กองกำลังรัฐอิสลาม" (ไอเอส) ว่ามีชาวตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ ตอกย้ำถึงการหลั่งไหลไปเป็นแนวร่วมนักรบในสมรภูมิซีเรียและอิรักของคนหนุ่มจากโลกศิวิไลซ์

จากเดิมที่มือเพชฌฆาต "จีฮัด จอห์น" ต้องสงสัยว่าเป็นชาวอังกฤษ ต่อมาปรากฏชาวฝรั่งเศสอย่างน้อย 2 รายในคลิปฆ่าตัดคอ หนุ่มอเมริกัน นายปีเตอร์ คาสซิก วัย 26 ปี เหยื่อชาติตะวันตกรายที่ 5 และสังหารหมู่นักโทษซีเรียอีก 18 ราย

รัฐบาลฝรั่งเศสระบุตัวได้ว่า นายแม็กซีม โอชาร์ด หรือชื่ออิสลามว่า อาบู อับดุลเลาะห์ อัล-ฟารันซี วัย 22 ปี และ นายมิคาเอล โดส ซานโตส หรือชื่ออิสลามว่า อาบู ออธมาน วัย 22 ปี

แหล่งข่าวใกล้ชิดหน่วยงานสืบสวน ของฝรั่งเศสระบุว่า ทั้งสองมาจากครอบครัวชนชั้นกลางที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมุสลิมสายสุดโต่งและไปร่วมรบในซีเรีย นายซานโตสอยู่ชานกรุงปารีส และไปซีเรีย เมื่อปี 2556

ส่วนนายโอชาร์ดเคยให้สัมภาษณ์ออกทีวีฝรั่งเศสเมื่อเดือน ก.ค. ว่า ตัดสินใจจะไปเข้าร่วมกับไอเอสหลังจากดูวิดีโอทางโลกออนไลน์ว่า "ความมุ่งมั่นของทุกคนที่นี่คือได้เป็นผู้พลีชีพในศาสนา นั่นคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"

จากนั้นไม่นานมีคลิปปรากฏกลุ่มนักรบไอเอสพูดภาษาฝรั่งเศส ร่วมกันเผาพาสปอร์ตที่ตนเองเคยมีสัญชาติฝรั่งเศส เพื่อประกาศตัวอุทิศให้ไอเอสอย่างฮึกเหิม

ความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับข้อมูลในเว็บไซต์ไทมส์ออฟโอมานที่ระบุว่า นักรบจากโลกตะวันตกหลายพันคนไปเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอสในอิรักและซีเรีย ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าคนเหล่านี้มักอยู่ในกลุ่ม ติดอาวุธที่โหดที่สุด และก่อความรุนแรงที่สุดด้วย

หน่วยข่าวกรองในหลายประเทศทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พยายามอย่างหนักที่จะระบุตัวนักรบต่างชาติที่ปรากฏ ซึ่งสงสัยว่าจะมีทั้งชาวออสเตรเลีย เดนมาร์ก และเบลเยียม

ทางการเบลเยียมระบุชื่อของนักรบคนหนึ่งว่าน่าจะเป็น นายอับเดล มาจิด การ์มูอี ชาวเบลเยียม อายุ 28 ปี จากเมืองวิลวอร์เดอ ซึ่งมีคดีอยู่ในประเทศกรณีเป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ

ในสัปดาห์นี้เอง ประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ ของฝรั่งเศส ไปเยือนออสเตรเลีย และยกประเด็นนักรบต่างชาติ และการที่พวกเขาเหล่านั้นถูกล้าง สมองขึ้นมาหารือเพราะออสเตรเลียก็เผชิญปัญหานี้เช่นกัน



ขณะที่กระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสประเมินว่า มีพลเมืองฝรั่งเศสทั้งที่มีแผนจะไปรบในสมรภูมิซีเรียและอิรักและไปแล้วมากกว่า 1,000 คน โดยคาดว่าเวลานี้อยู่ที่นั่นแล้ว 375 คน และเสียชีวิตไปแล้ว 36 ราย โดยกลุ่ม ที่ไม่ได้นับถืออิสลามแต่เดิมมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อต้นเดือนนี้เอง ฝรั่งเศสลงมติผ่านกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายซึ่งจะห้ามบุคคลต้องสงสัยว่าวางแผนจะไปทำสงครามเดินทางออกนอกประเทศ

"สิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่เพียงการลดจำนวนและหลีกเลี่ยงการเกิดนักรบต่างชาติรายใหม่ๆ แต่กฎหมายจะต้องมีบทลงโทษและการคว่ำบาตรคนที่ไปยังพื้นที่การรบ" ผู้นำฝรั่งเศสกล่าว

ในอดีต กลุ่มไอเอสพยายามปิดบังตัวตนสมาชิกด้วยการปิดบังใบหน้า แต่การใช้นักรบต่างชาติเพิ่มขึ้นกลายเป็นส่วนหนึ่ง ของการโฆษณาชวนเชื่อที่ใช้ดึงดูดความสนใจจากคนหนุ่มในยุโรป

นักวิเคราะห์ระบุว่า คนหนุ่มบางส่วนถูกชักจูงเข้าสู่ไอเอส ผ่านความหัวรั้นของคนรุ่นใหม่ และการผลิตวิดีโอที่มีเล่ห์เหลี่ยม เพื่อเกณฑ์ผู้คนในวิดีโอดังกล่าวนักรบหลายคนเปิดเผยใบหน้าชัดเจน ทั้งยังมีการเผาพาสปอร์ตโชว์ในคลิปล่าสุด

คาร์ล คันเทนธาเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอิสลามสายสุดโต่งมหาวิทยาลัยอาครอน กล่าวว่า สารที่ไอเอสพยายามส่งคือพวกเขาจะโหดเหี้ยมกับศัตรู โดยมีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้น ถ้าใครมีปัญหากับกลุ่มนี้ ก็จะต้องยอมรับความเสี่ยง

เว็บไซต์ยูเอสนิวส์วิเคราะห์ว่า แผนดั้งเดิมของอัล ไคด้า ภายใต้การก่อตั้งของนายโอซามา บิน ลาเดน คือการต่อสู้กับสหรัฐและอิทธิพลจากโลกตะวันตกที่เข้าครอบงำประเทศมุสลิม โค่นล้มรัฐ เหล่านั้น เพื่อสร้างกลุ่มอิสลามสายแข็ง แต่ไอเอสโยนแผนการนั้นทิ้ง และทำในสิ่งที่อัล ไคด้า ทำได้แค่ฝันมานานกว่าทศวรรษ

ไอเอสก่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับแต่เริ่มอาละวาดในซีเรียและอิรักในปี 2556 เมื่อเดือนก่อน นายอีวาน ซีโม โนวิก ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนแสดงความเป็นห่วง

เมื่อต้นเดือนนี้ คณะกรรมาธิการสหประชาชาติที่ดูแลกรณีซีเรียรายงานว่า ไอเอสทำอาชญากรรมสงครามในซีเรียอย่างกว้างขวาง ขณะเดียวกันฮิวแมนไรต์วอตช์ องค์กรเฝ้าระวังด้านสิทธิมนุษยชนระบุเช่นกันว่า นักรบไอเอสทรมานและทำร้ายเด็กๆ ชาวเคิร์ดในซีเรีย

แม้การโจมตีไอเอสทางอากาศของแนวร่วมนานาชาติที่นำโดยสหรัฐในพื้นที่ซีเรียและอิรักมีความคืบหน้าไปมากในการยึดเมืองคืน

แต่เมื่อเทียบกับความก้าวหน้าในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเกณฑ์นักรบต่างชาติของกลุ่มนี้แล้ว สถานการณ์น่าวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ